วันพุธที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2557

ฝันเล็กๆ ของฉัน สวนผัก+คน+เมือง : วิถีชีวิตที่ออกแบบได้


คำบรรยาย 3 เรื่องดีๆที่เกิดจากการปลูกผัก



สิ่งที่ใฝ่ฝัน
ดาดฟ้าร้อนๆของบ้านจะกลายเป็นสวนผักย่อมๆ ที่ลูกๆขึ้นไปวิ่งเล่น เด็ดผักกินแบบปลอดสารพิษ ลูกชายอยากกินข้าวโพด และ popcorn จากต้นที่ปลูกกัน

สิ่งที่ประทับใจ
ที่บ้านตั้งชื่อต้นไม้รุ่นแรกที่ขึ้นไปอยู่บนดาดฟ้าว่า “รุ่นกล้าหาญ”  เพราะต้องทนสภาพอากาศแบบสุดโต่ง แต่ทุกคนก็รวมใจกันดูแล ประทับลูกชายวัยห้าขวบและขวบกว่าที่ตามขึ้นไปรดน้ำ และสามีซึ่งเป็นคนไม่เคยลุกออกจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ ก็มาช่วยกันปีนขึ้นชั้นสี่ไปรดน้ำต้นไม้ทุกวัน


สิ่งที่ได้เรียนรู้
ก่อนหน้านี้คิดว่าชีวิตยุ่งมากพอแล้วคงไม่มีเวลาดูแลสวนผักหรอก แต่พอเริ่มทำ และรักมัน ก็จะสามารถแบ่งเวลามาใส่ใจ อยู่ๆก็มีเวลาพอดี เหมือนชีวิตเราที่ทุกคนมีเวลาเสมอ อยู่ที่ว่าจะจัดการอย่างไรกับชีวิต บริหารเวลาให้เป็น เราก็สามารถทำอะไรก็ได้ทุกอย่างโดยไม่รู้สึกว่ามีข้อจำกัดของเวลา
อีกอย่างคือ ต้นไม้เป็นสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก ที่สามารถทนสภาพอากาศที่แปรปรวน ทนไม้ทนมือหนักๆของเรา และความซุกซนของเด็กๆ ล้มแล้วลุกใหม่ได้เสมอ


วันศุกร์ที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2557

รีวิวหนังสือ: เลี้ยงลูกด้วยสัญชาตญาณ

เลี้ยงลูกด้วยสัญชาตญาณ
ผู้เขียน    สุวรรณา โชคประจักษ์ชัด (ผู้แปลหนังสือขายดี คุณคือครูคนแรกของลูก)
จำนวนหน้า            120 หน้า
สำนักพิมพ์             : สำนักพิมพ์บ้านภายใน


คำนิยมปกหลังหนังสือ:
หนังสือที่ดีที่สุดและง่ายที่สุด สำหรับการเป็นพ่อแม่ที่ดีงาม บอกเล่าเรื่องราวที่พ่อแม่ควรทำ และอยู่ในวิสัยที่ลงมือทำได้ หนังสือเล่มนี้ ช่วยให้คุณเป็นอิสระจาก ข้อมูลที่มากล้น หรือกรอบทฤษฎีหรือความเชื่อ แบบหนึ่งแบบใด ช่วยให้คุณมีวิจารณญาณ ตื่นรู้ด้วยตัวเอง และมีความสุขทั้งคุณและลูก
 
"หนังสือเล่มนี้อ่านแล้ว สามารถจับต้องได้  สัญชาตญาณระหว่างพ่อ แม่ และลูกๆ นั้นมหัศจรรย์มากค่ะ หมิวเชื่อว่า หนังสือเล่มนี้จะเป็นคู่มือการเลี้ยงลูกที่ดี และมีคุณค่าสำหรับลูกและตัวคุณเอง" - หมิว ลลิตา ปัญโญภาส (ศศิประภา)
 
"เลี้ยงลูกด้วยสัญชาตญาณเป็นคู่มือเลี้ยงลูกที่จะทำให้คุณ เข้าใจรักและรักอย่างเข้าใจในตัวลูกของคุณ" - แทนคุณ จิตต์อิสระ
 
รูปแบบการนำเสนอ: 
ตัวหนังสือโตดี อ่านแป๊บเดียวจบ มีการตั้งคำถามให้พ่อแม่ค่อยถามตัวเอง ชวนคิดไปในแต่ละหัวข้อ ชอบคำคมที่แสดงในหน้าคั่น
 
ความเห็นส่วนตัว: 
มาได้อ่านหนังสือเล่มนี้ตอนที่ฮั่นเริ่มเข้าที่รุ่งอรุณมาระยะหนึ่งแล้ว เพราะมีคุณครูแนะนำให้อ่าน พอเห็นชื่อผู้เขียนก็จำได้ทันทีว่าผู้เขียนเป็นคนที่แปลหนังสือเรื่อง “คุณคือครูคนแรกของลูก” (เล่มนี้ไว้มารีวิวให้ฟัง แต่ขอกลับไปอ่านอีกทีก่อนเพราะอ่านมานานมากตั้งแต่ตอนฮั่นเป็นเบบี้)  คิดว่าถ้าได้อ่านหนังสือเล่มนี้ตั้งแต่ตอนลูกเพิ่งเกิด อาจจะไม่เข้าใจทั้งหมด แต่พอได้เห็นแนวทางในการดูแลและการเรียนการสอนของโรงเรียน ประกอบกับเนื้อหาของหนังสือ เลยทำเข้าใจประเด็นที่หนังสือเล่มนี้จะสื่อให้ฟังได้มากขึ้น นั้นก็คือ การเลี้ยงดูลูกนั้น ทั้งหมดทั้งปวงอยู่ที่ตัวพ่อแม่ พ่อแม่คือจุดเริ่มต้นในการสร้างเด็กตามที่เราต้องการ เป็นตัวอย่างที่ดีงามของลูก ที่สำคัญโรงเรียนได้นำแนวทางมาใช้ในการดูแลลูกเรา คุณครูปฏิบัติกับลูกเหมือนพ่อแม่ โรงเรียนเหมือนบ้าน อ่านแล้วก็เลยเกทอ กับแนวทางของโรงเรียน
 
ที่บอกว่าเข้าใจมากขึ้นเพราะเห็นตัวอย่างที่โรงเรียน ก็เพราะหนังสือสื่อสารในเชิงให้คิด ประกอบการยกตัวอย่าง โดยลำดับเรื่องราวเพื่อให้พ่อแม่ได้เข้าใจ เริ่มถึงตัวเด็กคืออะไร เด็กเรียนรู้อย่างไร ส่งต่อมาถึงเรื่องเเบบอย่างองค์รวมทั้งสี่มิติของมนุษย์ ได้แก่ ความฉลาดทางร่างกาย อารมณ์ ความคิดและจิตสำนึก และอธิบายต่อในแต่ละมิติ โดยผู้เขียนอธิบายแนวคิดกว้างๆ อาจจะไม่ได้ชัดเจน หรือมีรายละเอียดถึงขั้นที่ว่ามีตัวอย่างทุกเคส หรือทุกกรณี แต่ก็พอจะเข้าใจได้ไม่ยาก เพราะทุกเรื่องคือเรื่องพื้นฐานในชีวิตประจำวันของเรา ที่ผู้ใหญ่อย่างเราพ่อแม่อาจจะมองข้าม หรือละเลยไม่ได้ให้ความสำคัญ (เช่น การกินอาหาร การอยู่ร่วมกัน ฯลฯ) เหมือนเรื่องอื่นๆ ที่พ่อแม่ปัจจุบันนี้โฟกัสเหลือเกินอย่าง เช่น ให้ลูกเข้าโรงเรียนไหนดีๆ  หรือมองหาของเล่นดีๆแพง ตามสมัยวัตถุนิยม 



มีอยู่จุดหนึ่งที่แอบมีประเด็น จากชื่อหนังสือ “การเลี้ยงลูกด้วยสัญชาติญาณ” ตอนแรกนึกว่า เลี้ยงตามที่เราคิด แต่เนื้อหานั้น พยายามบอกให้ พ่อแม่ย้อนกลับไปดูตัวเองใน “เเบบอย่างองค์รวมทั้งสี่มิติของมนุษย์” ซึ่งมีผลต่อการดูแลและพัฒนาลูก และพ่อแม่ต้องปรับตัว เปลี่ยนแปลง เพื่อเป็นตัวอย่างและโค้ชที่ดีของลูกในแต่ละด้าน ผ่านการถ่ายทอดทั้งกาย วาจา และใจ  ฉะนั้น แสดงว่า ใช้สัญชาติญาณล้วนๆไม่ได้นะ พ่อแม่ต้องเข้าใจ รู้ตื่นและพัฒนาสัญชาติญาณตัวเองก่อนนะ อะไรประมาณนี้ ไม่แน่ใจว่าเข้าใจถูกหรือเปล่า
 

  “พ่อแม่สำคัญอย่างทดแทนกันไม่ได้” 
เป็นประโยคคำคมจบท้ายหนังสือที่ชอบมาก และแสดงจุดยืนของหนังสือได้ดี เกี่ยวกับความเป็นพ่อแม่ ให้เรารู้สึกภูมิใจกับหน้าที่รับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่และไม่มีอะไร หรือใครทดแทนพ่อกับแม่ในใจลูกได้

ความน่ามีไว้ครอบครอง
น่าอ่านค่ะ ควรมีไว้ติดบ้าน เหมาะสำหรับเด็กวัยอนุบาลขึ้นไปนะ แต่แนวคิดเกี่ยวกับมิติทั้ง4 ก็ปรับใช้ได้กับทุกเพศทุกวัย อ่านง่าย อ่านได้บ่อย

 


วันศุกร์ที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2557

จัดการ รับมือ รับฝีปากพร้อมต่อรองกับลูกช่างต่อรอง


10 March 2014

มีคำพูดที่ว่า “ลูกก็เหมือนกระจกส่องดูตัวเรา เราเป็นยังไงลูกก็เป็นยังงั้น”
ฮั่นเป็นเด็กค่อนข้างเชื่อฟังพ่อแม่ ไม่ค่อยดื้อเท่าไร แต่ซนเนี้ยก็ปกติลูกลิง ถึงจะพูดช้า (กว่าจะเริ่มพูดก็สองขวบกว่า) หรือคิดนานกว่าจะพูดออกมา (ประมวลอย่างรอบคอบ) แต่ก็ไม่ได้ทำให้ทักษะในการคิดค้นคำพูดที่แสนจะทำให้พ่อแม่ตกใจหรือแปลกใจด้อยไปกว่าเด็กคนอื่นๆ ยิ่งทักษะการต่อรองเนี่ยบ้างที่แม่ก็อึ้งไปต่อไม่เป็นเหมือนกัน

ที่นี้ ฮั่นเริ่มต่อรองเก่งเพราะอะไรนะ ตั้งแต่เมื่อไร  มันเริ่มเหมือนไก่กับไข่อะไรเกิดก่อนกันแล้ว นั่นสิ  กลับมาทบทวนคำพูดที่ฮั่นใช้และสไตล์การยกเงื่อนไขและต่อรองแล้ว นั้นมันมาจากตรูทั้งนั้น (พ่อมันก็มีบ้าง แต่น่าจะเลือดแม่)  ลองมาดูหตุการณ์ในทุกวัน มันต้องมีการต่อรองกันทุกจังหวะชีวิตแบบไม่ได้ตั้งใจเลยจริงๆ

ตอนกินข้าว
มามี้: กินข้าวเร็วๆ  กินอีกสามคำก็ได้
ฮั่น: ไม่ ฮั่นจะกินอีกสองคำ
มามี้: งั้นกินกี่คำก็ได้ กินหมูให้หมดละกัน (กี่คำก็ได้ให้มีโปรตีนหน่อย)
ฮั่น: ถ้ากินเสร็จแล้ว น้องฮั่นขอกินเจเล่ต่อนะ
มามี้: ต้องกินข้าวให้หมดก่อน แล้วค่อยกินเจเล่ อ้าวจะไปไหน กลับมากินข้าวต่อก่อน (ฮั่นวิ่งหนีไปแล้ว)

ตอนกลับบ้าน
ฮั่น: มามี้ วันนี้ น้องฮั่นซื้อรถ (บรรยายลักษณะ บลา บลา) มา ขอโทษด้วยนะ
มามี้: ซื้อมาอีกแล้ว (บ่น บลา บลา)
ฮั่น: โอ๊ย รู้แล้ว มามี้หยุดพูด น้องฮั่นตกลงกับปะป๊าแล้วว่าจะรดน้ำต้นไม้ให้มามี้ 5 วัน โอเคมั้ย
มามี้: โอเค
ตอนก่อนอาบน้ำ
ฮั่น: หลังจากมามี้กินข้าวเสร็จแล้ว มามี้ต้องมาเล่นสร้างบ้านกับฮั่น นะ นะ ขอร้อง
มามี้: ได้แต่ ขอเอาน้องนอน แล้วก็ไปอาบน้ำก่อนได้มั้ย
ฮั่น: ก็ให้อาม่าเอาน้องไปให้อาม่า แล้วมามี้ไปอาบน้ำ แล้วต้องมาเล่นกับฮั่น เข้าใจมั้ย

ตอนก่อนนอน
ฮั่น: มามี้ วันนี้มามี้ต้องอ่านหนังสือให้น้องฮั่นฟังทั้งหมด
มามี้: ได้สิ แต่วันนี้มามี้เหนื่อยมาก ขอ 3 เล่มได้มั้ย (ต่อเกินครึ่ง)
ฮั่น: 10 เล่มล่ะกัน
มามี้: ลดหน่อยสิ
ฮั่น: (คิดแป๊บหนึ่ง)  10 เล่ม
มามี้: 5 เล่มล่ะกัน วันนี้มี power เสียงได้เท่านี้จริงๆ
ฮั่น: (เริ่มสงสารแม่) 5 เล่มก็ได้
มามี้ ก้มหน้าก้มตาอ่านไป แล้วฮั่นก็แอบเอามาเพิ่มอีก

สังเกต ลักษณะประโยค ประเภท “ต้องทำ” อันนี้คือไม่ขอต่อรอง ต้องทำตามฉันเท่านั้น มีการใช้การเจรจาแบบ Zero sum game ตาม Game theory เลย แบบต้องมีคนที่ได้ และมีคนที่ต้องเสียผลประโยชน์  นอกจากด้วยพื้นฐานที่ฮั่นรู้ว่า สิ่งไหนแม่ให้ แม่ใจอ่อนก็จะต่อรองแนวนี้ ส่วนเรื่องไหนที่ฮั่นรู้ว่า เป็นกฎที่ตั้งมา หรือสิ่งที่แม่ไม่ชอบ ก็เลือกที่จะรองขอก่อน แล้วค่อยต่อรองกับแม่ หรือยื่นเงื่อนไขที่รู้ว่าแม่รับได้ เพื่อต่อรองให้ได้ตามที่ตัวเองต้องการ
เมื่อคิดให้ถ้วนถี่แล้ว ดูเหมือนฮั่นจะได้เข้าใจถึงกลยุทธตามคำสอนของซุนวู ที่ว่า “รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้ง” จึงสามารถใช้คำพูดคำจา ทำให้แม่ใจอ่อนอย่างเราพลาดท่าเสียทีหลายหน  ไม่ได้ต้องเปิดตำรา “กลยุทธการเจรจา” ทันใด
ขอสรุปแบบประยุกต์จากทฤษฎี (เท่าที่เข้าใจ) บวกกับประสบการณ์จริงที่ต้องต่อรองกับลูกค้า(ตอนเป็นที่ปรึกษา) หรือต่อรองกับที่ปรึกษา (ตอนเป็นลูกค้า)  มาดูว่า เอามาใช้กับลูกได้ยังไงบ้าง




กระบวนการในการเจรจาต่อรอง

1. เตรียมตัวเตรียมใจ เตรียมพร้อมวางแผน เตรียมข้อเสนอที่น่าสนใจกว่าให้กับลูก อันนี้ ต้องคอยวางแผนด้วยว่า ช่วงนี้ ฮั่นกำลังอินกับ Angry bird เดี๋ยวต้องมาขอเล่นเกม หรือขอซื้อของอะไรที่มี Angry bird แน่ๆ เราต้องคาดการณ์และเตรียมพร้อมรับมือทุกสถานการณ์ ไม่ใจอ่อน ไม่ยอมง่ายๆ

พ่อแม่ต้องตั้งใจฟังค่ะว่าลูกอยากได้ หรืออยากทำอะไร เรื่องไหนหรื ออะไรที่ลูกขอแล้วไม่ขัดกับกติกาหรือข้อตกลงภายในบ้าน เราก็ให้ลูกไปเถอะค่ะ ไม่ควรต่อรองซ้ำซ้อน ลูกจะรู้สึกว่าถูกบีบคันเกินไป ต่อรองเฉพาะบางเรื่องที่พ่อแม่คิดว่าจะมีผลกระทบต่อลูก และอื่นๆดีกว่าค่ะ เช่น ขอเล่นเกม หรือขอซื้อของเล่น/ขนมไม่มีประโยชน์ ขอไม่ทำกิจวัตรประจำวัน เป็นต้น ถ้าพิจารณาแล้วไม่โอเค ก็ต้องคุยต่อรองกันหน่อยค่ะ

ขั้นการเตรียมใจ สำคัญมากคือเรื่องของอารมณ์ทั้งพ่อแม่ และทั้งคุณลูก หากอารมณ์แรงกันทั้งคู่ ลูกก็ไม่ยอม จะเอาจะเอา พ่อก็ไม่ยอม ไม่ให้ไม่ให้  ถ้าอย่างนั้น อาจจะยังไม่ใช้เวลาที่ดีสำหรับการคุยกัน ลูกอาจจะควบคุมไม่ได้ แต่พ่อแม่ต้องสำรวจตัวเองก่อนว่าควบคุมอารมณ์ตนเองได้มั้ย ถ้าได้ แล้วสามารถคุยกับลูกที่อารมณ์โกรธ หรือไม่พอใจได้หรือไม่ ต้องลองตรวจสอบข้อนี้ก่อนนะคะ ถ้าคิดว่าไหว ก็ลุยเลย แต่ถ้าไม่ พ่อแม่ควรจะทำให้ลูกกลับมาอยู่ในอารมณ์ปกติก่อน เด็กเล็กๆก็คงต้องเบี่ยงเบนความสนใจหรือหลอกล่อไปก่อน ถ้าเด็กโต คุยรู้เรื่องก็ต้องบอกเค้าค่ะว่า หายโมโหแล้วมาคุยกันนะ

2.ดำเนินการเจรจาต่อรอง ลูกอ้าปากปุ๊บ เราต้องรับฟังอย่างตั้งใจ เจรจาต่อรองด้วยความรัก ไม่จับผิด ไม่ให้สินบน พยายามปรับให้เป็น Win-Win ได้กันทั้งแม่ทั้งลูก ถ้าไม่จบก็หยุดก่อน แล้วค่อยมาคุยกันต่อ มี tip เล็กๆน้อยๆให้ด้านล่าง

พ่อแม่ต้องพยายามสร้างบรรยากาศที่ดีในการคุยต่อรองนะคะ เพราะมีแน่นอนที่ว่าคุณลูกไม่พอใจในสิ่งที่เราให้ หรือไม่ได้ตามที่ขอ ส่วนตัวจะพยายามทำให้เป็นเรื่องตลกๆ ทำเว่อร์ๆ พยายามให้คำถามแทนคำตอบในบ้างเรื่องที่ลูกขอ  ถ้าคุยกันไปแล้ว เริ่มจะกลายเป็นทะเลาะกันก็หยุดก่อนค่ะ เหมือนช่วงแรกค่ะ

ส่วนใหญ่พ่อแม่จะได้เปรียบ ถ้าสามารถจับจุดได้ว่า ลูกต้องการอะไร อันไหนมากกว่าหรือน้อยกว่า พยายามให้ลูกเลือกโดยลดข้อเสนอลงนะคะ narrow down ความต้องการลูกซะ จะได้ควบคุมได้ง่ายหน่อย สิ่งไหนที่ฝ่าฝืนกฎของบ้าน อันนี้ไม่ควรให้ต่อรองเป็นอันขาดค่ะ เดี๋ยวกฎของบ้านไม่ศักดิ์สิทธิ์

สำหรับสิ่งไหนที่มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะให้ลูก อย่าเพิ่งปฏิเสธลูกหรือรับปากลูกว่าทำได้โดยทันทีค่ะ รับปากในสิ่งที่ทำไม่ได้ ทำให้คำพูดของคุณไม่มีความศักดิ์สิทธิ ลดเครดิตความน่าเชื่อถือของพ่อแม่นะคะ นอกจากต่อรองครั้งหน้ามีโอกาสแพ้แล้ว ในระยะยาว ลูกจะไม่มั่นใจในสิ่งที่คุณรับปากและลูกอาจจะทำตามในสิ่งที่พ่อแม่ทำ นั้นก็คือไม่ทำตามสัญญาค่ะ  ลองชวนลูกคุยดูว่าจะทำให้มันเป็นจริงได้อย่างไร หากดูแล้วยังไงก็เกิดขึ้นไม่ได้ ให้บอกความรู้สึกของตัวพ่อแม่ไปแทนค่ะ เช่น พ่อแม่ก็อยากจะให้เหมือนกัน และเสียใจเหมือนกันที่หามาให้ลูกไม่ได้

3. ต่อรองขั้นสุดท้าย  สรุปผลการต่อรอง และปิดการต่อรอง สำคัญมากคือ คุยกันสรุปเป็นยังไง ก็ต้อง Close with confirmation ย้ำข้อสรุปหรือข้อตกลงระหว่างกันให้ชัดเจน ในช่วงนี้ ย้ำไปเลย แบบที่เราคุยกันโอเคตามนั้นนะ มีที่ลูกต้องทำอะไร แม่ต้องทำอะไรบ้าง ก็ว่ากันไป หากคุยกันแล้วเข้าใจไม่ตรงกันก็จะได้เคลียร์กันไป

ก่อนสรุป อาจจะเปิดโอกาสให้ลูกได้ต่อรองขั้นสุดท้าย เป็นเวทีโน้มน้าวใจให้ลูกทำตามโดยไม่บังคับมาก เกินไป เราสามารถเอาไพ่ใบสุดท้ายมาเล่นในตอนนี้ ให้ข้อเสนอที่เกือบดีที่สุด  พอตกลงกันได้ก็สรุปผลการต่อรองซ้ำ ถ้าเด็กโตหน่อย อาจจะทำสัญญาหรือจดบันทึกอะไรที่เป็นลายลักษณ์อักษรก็ได้นะคะ กันทั้งพ่อแม่ทั้งลูกลืมไป

แล้วถ้าทำยังไง ลูกก็ยังไม่ยอมตกลง ก็ย้อนกับไปข้อที่สองค่ะ ใช้การให้ทางเลือก 2 ทางให้เค้าเลือกแทน หรือไม่ก็หยุดคุยชั่วคราวก่อน เด็กเล็กๆ เมื่อหยุดคุย เดี๋ยวก็ลืมไปค่ะว่าอยากได้อะไร แต่ถ้าเค้าจำได้ พ่อแม่ก็ต้องใส่ใจกับคำขอของเค้าและนำเรื่องนั้นกลับมาคุยกันใหม่อย่างดีๆนะคะ

ขั้นนี้ อาจจะคุยถึงว่า เราจะติดตามผลยังไง เมื่อไร ว่าได้ทำตามเงื่อนไขหรือข้อตกลงตามที่สัญญากันแล้ว เปิดโอกาสให้ลูกเสนอเองก็จะเป็นการดีค่ะ ให้เค้ารับผิดชอบในสิ่งที่เค้าสัญญา

4. การติดตามผล เมื่อตกลงกันเรียบร้อย อย่าลืมติดตามผลด้วย และให้คำชมกับสิ่งที่ลูกทำได้ตามสัญญา หรือชี้ให้เห็นผลกระทบหรือผลเสียหากลูกไม่ได้ทำตามที่สัญญาไว้ แถมทำให้เกิดความคลัง น่าเชื่อของการต่อรองและผลที่ได้จากการทำตามสัญญา

สำหรับฮั่น เรามีสมุดเล่มหนึ่งไว้จดเพื่อติดตามว่า เค้าจะทำงานอะไรแลกกับของที่จะซื้อ/สิ่งที่ขอจะทำ และจดว่าได้ทำไปแล้วกี่ครั้ง ครบตามที่ขอหรือยัง ช่วงหลังดม่ือฮ่ันอยากได้อะไร ฮั่นจะเสนอตัวขอทำงานแลกของเล่นก่อนเลย แทนที่จะต้องมาต่อรองกับแม่ เช่น ขอซื้อรถแข่งแล้วจะรดน้ำต้นไม้ให้ 10 วัน  มามุขเหนือเมฆขนาดนี้ แม่มันขำ ต่อรองไม่ถูก อยากจะลดจำนวนวันให้ด้วยซ้ำ และต้องยอมไปโดยบรรยาย


Tips ส่วนตัว
Assess your kid by your ears and your heart   “รู้เขา รู้เรา” ใส่ใจฟัง และใช้คำถาม เพื่อให้รู้ความต้องการของลูก สำคัญมากๆค่ะในข้อนี้ สิ่งที่ลูกบอกว่าอยากได้ อาจจะไม่ใช่สิ่งที่เค้าต้องการที่สุดค่ะ เราต้องลองฟังลูกด้วยใจ และรับความรู้สึกว่าลูกลึกๆแล้วต้องการอะไรจริงๆ

Save the best for last หากสิ่งที่ลูกขอ ไม่ใช่เรื่องที่จำเป็นที่สุด ก็ไม่มีความจำเป็นต้องทำตามโดยทันที หากมีสิ่งทดแทนได้หรือสิ่งที่จำเป็นกว่า ควรเสนอสิ่งนั้นก่อน ด้วยเหตุและผล เก็บข้อเสนอที่ดีที่สุดไว้ท้ายสุด

Don’t offer something they don’t want อย่าเสนอสิ่งที่อีกลูกไม่ต้องการ เพราะเราจะได้แบบนั้นเหมือนกัน นอกจากนี้ ยังทำให้ลูกรู้สึกว่าเราไม่เข้าใจความต้องการ และยิ่งทำให้ปั่นป่วนเพิ่มเติม

Always have a backup plan เก็บการลดหย่อน หรือแผนสำรองไว้สุดท้าย ยืดหยุ่นได้ ต่อสถานการณ์

Negotiation is not a war  อย่าทำให้การต่อรองเป็นเรื่องสู้รบ หรือเอาชนะลูก ขอหยุดเจรจาก่อนถ้าสถานการณ์ไม่เวิร์ค

Stick to your principles อย่าเสนอข้อเสนอที่เป็นไปไม่ได้ หรือขัดกับกฎกติกาของบ้าน เช่น ทำได้จะให้ขนม


วันจันทร์ที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2557

อ่านเพื่อลูก รีวิวหนังสือสำหรับพ่อแม่

ความตั้งใจและวัตถุประสงค์แอบแฝงที่คิดเปิด page และ เปิด blog อีกอย่างหนึ่งก็คือ เพื่อให้ตัวเองได้ศึกษาและเรียนรู้การเป็นพ่อแม่มือโปร (ตาม goal และ mission & vision ของครอบครัวที่เคยตั้งไว้) ช่วงแรกที่เริ่มมี Facebook page " Monkeycorners" เราตั้งใจมากที่จะอ่านหนังสืออย่างน้อยวันละสัปดาห์ เพื่อเอามาใช้กับลูก แก้ปัญหาบางอย่างที่ไม่รู้ทำไง และที่สำคัญคือ อยากเขียนรีวิวหนังสือเพื่อแบ่งปันความคิดเห็นเกี่ยวกับหนังสือสำหรับพ่อแม่ที่น่าสนใจ ไว้เป็นข้อมูลในการเลือกหามาอ่านหรือซื้อมาไปติดบ้านไว้ ให้อุ่นใจเล่น

หนึ่งในชั้นวางหนังสือใหม่ที่เตรียมมาเก็บหนังสือของลูก และของพ่อ

ช่วงนั้นยังพอมีเวลาเพราะกิจกรรมกับลูกยังไม่เยอะมาก มาช่วงหลัง เอาเวลาไปดูแลลูกคนใหม่ "สวนผักและเห็ด" และ "น้องเตาอบ" เยอะไปหน่อย แถมคุณชายฮั่นก็ไฮเปอร์ขึ้น เล่นไม่ยอมนอน ธันธันก็เล่นเยอะ นอนยาก ปกติจะอ่านหนังสือก่อนนอน นี้แม่มันหลับก่อนลูกเพราะเพลียทุกวัน และเหตุผลร้อยแปดเลยไม่ค่อยได้อ่านหนังสือเลย 

ส่วนคุณสามีผู้อุปการะคุณ ก็ซื้อหนังสือมาจังเลย น่าอ่านทั้งนั้น บอกให้คุณเธอเขียนรีวิวเองก็ไม่ยอม ก็ได้ๆ จะตั้งใจใหม่ จะเริ่มจัดสรรเวลาใหม่ให้สำหรับการเพิ่มพูนปัญญา ลับเหลี่ยมสมอง พร้อมรับมือลูกๆน้อยๆ แล้วจะได้เอามาแชร์ให้อ่านกันนะคะ



ไงก็ ขอเอารีวิวเก่ามาเล่าใหม่ก่อนนะช่วงนี้ อิอิ

ถึงฤดูย้าย โยก ปรับ จัด ห้อง (ภาคต่อ)

มาเล่าต่อค่ะ  ทิ้งค้างเอาไว้ถึงของเล่นใหม่ของปะป๊า วันนี้มาเฉลยกันว่าคืออะไร


มันก็คือ DIY white board สำหรับเฮียฮั่นนั้นเอง เป็น white board ชนิดแปะติดกับฝาผนังได้ ตัดเองติดเอง ไซด์ไหนรูปแบบอะไรตามใจเรา เขียนได้ลบง่าย สะดวกจริง  ตอนแรกอยากทำผนังเป็น white board ไปหาวิธีทำมาหลายที่ ต้องใช้สียังนั้น หรือทำเป็นบอร์ดไม้ติดเมลามิน แม่บ้านอย่างชั้นก็ไม่มีปัญญาทำ  เราก็เลยยกเอา white board อันใหญ่มาใช้แทน แต่เมื่อธันเริ่มโต ก็มาเล่นทั้งปากกา ทั้ง board พี่ๆเขียนอะไรไว้ก็ไปลูบเล่น  ประกอบกับช่วงหลัง ฮั่นไม่ค่อยเล่น เลยยกเก็บที่ห้องเก็บของไปดีกว่าทิ้งไว้ให้ธันธันมาอมปากกาเล่น  มาตอนนี้ คุณปะป๊าเลยจัดให้ ติดตั้งง่าย อยากได้สูงเท่าไรก็แล้วแต่เรา (เอาแบบเบบี้เอือมไม่ถึง) แปะปุ๊บเขียนได้ปั้บ แถมไม่แพงอีกด้วย ขอแค่มีฝาผนังว่างๆก็พอ  ตอนแรกคุณปะป๊าจะติดทั้งฝาฝนังเลย แต่รู้สึกมันจะเยอะไป เลยแบ่งส่วนหนึ่งไว้ใช้เขียนเล่นบนพื้นราบแทน


นอกจากจะจัดห้องใหม่เพื่อธันธันแล้ว เราก็มองว่า ฮั่นกำลังจะเป็นพี่อ. 3 เทอมหน้าแล้ว ซึ่งจะเริ่มมีการเขียนและเรียนภาษามากขึ้น  จึงต้องเริ่มฝึกหัดขีดๆเขียนๆ มากขึ้นกว่าเดิมประกอบกับช่วงนี้ ด้วยวัยของฮั่นที่เริ่มมีจินตนาการ และคิดสร้างสรรค์มากขึ้น ฮั่นมักจะคิดเกมหรือคิดอยากทำของเล่นเองเป็นประจำ  ล่าสุด อยากทำเมืองและถนนให้รถแข่งกัน  ปะป๊าเลยหา DIY White board มาให้วาดเล่น แล้วเอาบรรดารถในcollection ของคุณชายฮั่นมาเล่นกันอย่างสนุกสนาน  ศิลปะง่ายเมื่อเอามาประยุกต์ใช้ก็สร้างความสนุกได้แบบประหยัดๆ        



สิ่งที่ลูกเคยรับรู้ถูกกลั่นกรองออกมาเป็นรูปภาพหรือศิลปะ ภาพนี้ ฮั่นวาดรูปหู และส่วนประกอบของหู (มีขี้หูด้วย) และดวงตา ที่เคยอ่านหนังสือเกี่ยวกับร่างกายด้วยกัน วาดเสร็จ ฮั่นถามว่าขี้หูเขียนยังไง เลยเขียนให้ฮั่นดู ฮั่นก็มาเขียนตามที่เราเขียน ได้เรียนเรื่องภาษาไปในตัวอีกด้วย 

หูของฮั่น
มีขี้หูด้วย

จะเห็นว่า ฮั่นจะไม่ค่อยมีของเล่นแบบสำเร็จรูป หรือจำลองการเล่นเท่าไร เช่น ชุดหมอ ชุดทำครัว  มีมากสุดก็เป็นพวกรถและของเล่นบลาบลาที่อากุงอาม่าซื้อให้ (แบบไม่ได้คิดอะไร รักหลานเห็นหลานขอก็ซื้อให้) ที่เหลือก็จะเป็นอะไรที่ต้องต่อๆ สร้างๆ ประกอบเองเป็นหลัก เช่น Lego รางรถไฟ บล็อคไม้  ฮั่นก็เหมือนเด็กทั่วไป เห็นของเล่นที่ชอบก็อยากได้ แต่เจอพ่อแม่สกัดไม่ให้ซื้อ แต่ก็จะชวนให้ฮั่นไปซื้อของเล่นพวกตัวต่อหรือ Lego มากกว่า เพราะเป็นของเล่นที่ส่งเสริมความคิดปลายเปิด และสามารถต่อยอดกับของเล่นอื่นๆได้  ซึ่งจะเห็นได้ชัดเลยว่า หลังจากที่ฮั่นเขียนเมืองเรียบร้อยแล้ว ก็ไปเอาบล็อค เอารถ  

ไม่รู้ว่า พ่อลูกจะเห่อเล่นกันนานขนาดไหน แต่มามี้ชอบและสนับสนุนที่มีของให้เล่นฮั่นแบบมีประโยชน์ เสริมความคิดสร้างสรรค์ และที่สำคัญจะได้ดึงคุณพ่อคุณลูกออกจากจอ I-phone, I-pad หรือ note II มาเล่นกันบนจอ White board ทั้งสนุกทั้งถนอมสายตา แถมสร้างเสริมสัมพันธ์ในครอบครัว ถูกใจมามี้มากๆค่ะ

 

ปล.ใครสนใจ ติดต่อหลังไมค์ได้ค่ะ ชุดนี้มีปากกาหลากสีแบบไม่มีกลิ่นด้วย

 

วันเสาร์ที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2557

ถึงฤดูย้าย โยก ปรับ จัด ห้องรับวัยเบบี้ที่เปลี่ยนไป

เห็นถ้วยน้ำชาของอาม่าเหลือแต่ถ้วย ฝากับที่กรองชาหายไปไหนก็ไม่รู้ หามาหลายวัน ทั้งตรงมุมของเล่นฮั่น มุมวางของรอบโต๊ะทำงานปะป๊า หลังโซฟา คอกธันธันและเตียงนอนธัน ซึ่งตอนนี้กลายเป็นที่เก็บของเล่นและ ของใช้อาม่าไปแล้ว หาเท่าไรก็หาไม่เจอ เมื่อวานทนไม่ไหวแล้วถึงความรก เลยได้ฤกษ์รื้อห้อง จัดห้องใหม่ย้ายโน้นโยกนี้ ปรับสภาพห้องเพื่อเตรียมพี่ฮั่นจะเป็นพี่ใหญ่อ.3 เทอมหน้า และเตรียมธันธัน my baby เพื่อเป็น toddler คุณภาพ และที่สำคัญเพื่อหาอุปกรณ์ถ้วยน้ำชาอาม่าให้เจอ

จัดห้องใหม่จนได้มุมโต๊ะทำงานให้ธันธัน

จริงๆแล้วห้องเลี้ยงลูก หรือห้องนั่งเล่นนี้คือห้องทำงานของปะป๊า พอฮั่นเริ่มโตเราเลยขอครึ่งห้องมาทำเป็นห้องดูทีวีและมุมของเล่นให้ฮั่น ปูพื้นนุ่มๆและสว่างแทนพื้นกระเบื้อง กันเด็กลื่นและง่ายต่อการมองเห็นยุง มด และแมลงต่างๆ ทำwall paper ลายน่ารักๆ และผ้าม่าน ที่สำคัญทำประตูแบบบานพับเพื่อแบ่งห้องให้เป็นส่วนตัว และเพื่อกันไม่แอร์ออก 
ประตูกั้นห้อง ให้ปะป๊ามีสมาธิในการทำงาน

อยู่มาเรื่อยๆ สมบัติเริ่มเยอะ ของเล่นหนังสือของฮั่นเริ่มเยอะ พอมีธันธัน ก็ถึงเวลาปรับห้องใหม่หมด โยกย้ายของฮั่นไปตรงส่วนที่ทำงาน ส่วนปะป๊าซึ่งอยากจะแยกไปทำออฟฟิสส่วนตัวมาตั้งนาน แต่มามี้ไม่ยอมให้ไปเพราะอยากอยู่ด้วยกันตลอดเวลา แต่เพื่อเบบี้ จึงยอมปล่อยปะป๊าไป ปะป๊าย้ายข้าวของสมบัติทั้งหลายไปอยู่ห้องเก็บของในห้องใกล้ๆกัน เหลือไว้แต่ workstation สำหรับการลงทุน ทำงานออนไลน์และเล่นเกม 
สามจอ 

ตั้งแต่ธันเกิดยันสี่่ห้าเดือน เราย้ายสำมะโนครัวมากินนอนที่ห้องนี้กันหมด เพราะไม่อยากให้เสียงงอแงของเบบี้รบกวนคนอื่นในยามดึก แถมสะดวกกับตัวเองในการปั้มนม ตู้แช่ถูกย้ายหนีน้ำมาอยู่หน้าห้องตั้งแต่สมัยน้ำท่วมกรุงเทพ ทุกคืนก็ปูท่ีนอนนอนกันบนพื้น ธันธันนอนบนเตียงไม้บ้าง นอนบนเบาะบ้างแล้วแต่โอกาส  ตอนจัดห้องรับเบบี้ เหมือนย้อนเวลาหาอดีต ได้เอาของเก่าๆของฮั่น ตั้งแต่เตียงไม้ เสื้อผ้า ตะกร้าใส่ยา กระเป๋าผ้าอ้อม หรือหนังสือหนังหา จัดห้องไปก็นึกถึงวันเก่าๆที่เป็นพ่อแม่มือใหม่มันทั้งสุขทั้งงง ทั้งง่วงทั้งเพลิน แต่พอเห็นฝุ่นที่เกาะข้าวของเก่า เลิกเพ้อเลย เซ็ง เกิดเป็นแม่อนามัยจัดก็ต้องลงมือเอง เหนื่อยหน่อยแต่สบายใจ 
สภาพมุมของเล่นฮ่ัน ตอนยังไม่มีน้อง
 
ย้ายมานอนที่ห้องเบบี้

ธันธันเริ่มโต ห้องก็เริ่มมีออฟชั่นเพิ่มขึ้น เตียงไม้แทบจะไม่ได้ใช้ ยิ่งคุณชายปีนปายเก่งมากมายจนเกิดเหตุเหยียบที่กั้นกระแทกตกลงมาจากเตียง โชคดีแม่มันจับทันอยู่เลยลงมาที่ bean bag จากนั้นก็ไม่เคยเอาลิงน้อยใส่บนเตียงลำพังอีกเลย  อุปกรณ์เพิ่มความปลอดภัยเริ่มทยอยเข้าแถวเข้ามาในห้อง เริ่มจากคอก DIY ปะป๊ากับอากุงช่วยกันทำให้ ตามที่มามี้ขอร้องให้ทำไว้ให้ธันธันเพื่อลดปัญหาแย่งของเวลาเฮียฮั่นเล่นอยู่ในห้อง และเพื่อเป็นที่ที่ปลอดภัยให้เบบี้เล่น เวลามามี้ต้องออกไปข้างนอกห้อง หรือทำธุระ  

เตียงไม้ไม่สามารถยับยั้งเบบี้ได้

ประตูหน้าห้อง



พอธันโตขึ้นอีกหน่อย ก็เริ่มระรานทั้งมุมของเล่นเฮียฮั่น และที่ชอบไปเล่นมากสุดๆก็คือ workstation ของปะป๊า ตรงไหนมีปลั๊กไฟ ต้องเข้าไปเล่น ปากกา เหรียญบาท กระดาษเอกสารเห็นเป็นต้องเอามาเล่นเอามากินเรื่อยเลย  จนมามี้ต้องไปหาอะไรมากันไม่ให้เบบี้เข้าไปได้ ได้ที่กั้นเตียงอังปังแมน แต่อยู่ไปไม่นานเริ่มเอาไม่อยู่ อาม่าต้องเอากองหนังสือนิตยสารมามี้มาทับผูกนั้นมัดนี้ไว้ให้แข็งแรง ต้านทานแรงลิงน้อยได้ไม่ถึงเดือน ธันธันก็โยกก็ปีนตะลุยผ่านไปได้ มามี้ต้องขอแรงอากุงอีกรอบทำรั้วท่อเฉพาะทางเข้าอีกรอบ ส่วนมุมอื่นๆของโต๊ะทำงานก็ต้องหาอะไรมากันไม่ให้ลิงแอบมุดเข้ามาได้ 
มาเกาะทุกวัน
เล่นในคอกไม่สนุกแล้ว

ตอนนี้ ลิงน้อยวัยขวบสองเดือนไม่เพียงจะรู้ว่าคอกไม่ใช่ที่เล่นที่สนุกที่สุด เตียงไม่ใช่ที่นอนแต่เป็นที่แอบซ่อนของที่เล่นไม่ได้ ตะกร้าของเล่นตัวเองก็ไม่นานสนใจ ของเล่นที่เฮียฮั่นกำลังเล่นอยู่เป็นของเล่นที่น่าเล่นที่สุด มามี้ต้องปรับเตรียมทัพใหม่พร้อมวัยแสนซนของหนู ประกอบกับได้ฤกษ์หาของให้อาม่า มามี้จับของไม่ได้ใช้โยนออกไปนอกห้องอย่างแรกก็เตียงหนูนะ รองมาแต่เยอะที่สุดของเล่นคุณชายใหญ่ เคลียร์คอก เลือกหนังสือย้ายขึ้นไปชั้นวางหนังสือใหม่ในห้องนอน อุปกรณ์ทำสวน ทำขนม และของใช้จุกจิก มามี้จัดเก็บเข้าตู้ซ่อนไว้สูงกันลิงน้อยมารื้อ เสื้อผ้าเบบี้ตัวไหนเล็กแล้วมามี้พับเก็บ เอาเสื้อเด็กโต (ของเก่าเฮียฮั่น) มาใส่แทน  ไม่น่าเชื่อว่าจัดไปจัดมาได้ space เพิ่มเยอะเลย ได้เวลาเอาชุดโต๊ะเก้าอี้มาให้เบบี้ใช้แล้ว คิดมานานตั้งแต่ตอนฮั่น ฮั่นไม่เคยถูกฝึกให้นั่งทำอะไรบนโต๊ะ แถมขึ้รำคาญ เลยไม่สามารถสอนหรือเล่นหรือทำกิจกรรมอะไรกับฮั่นบนโต๊ะได้มากนัก  มาธันธัน เลยขอแก้มือ จะฝึกให้เบบี้น้อยชอบนั่งเล่นบนโต๊ะให้ได้  พอเอาโต๊ะเก้าอี้มาวาง เอาของเล่นมาให้ ธันธันดูสนใจและรู้สึกแฮปปี้ ยิ่งได้พี่หมีมานั่งเป็นเพื่อน ยิ่งหัวเราะคิกคัก ไม่รู้เห่อของใหม่หรือเปล่า แต่พอเล่นไปเรื่อยๆ ธันธันก็มักจะวนเวียนมานั่งเล่นเรียบร้อยที่โต๊ะ  ยอดเยี่ยม ประสบความสำเร็จมาหนึ่งขั้นแหล่ะ 

จัดห้องคืนวันศุกร์ มาต่อวันเสาร์ ปะป๊ามีของเล่นใหม่มาอีกแล้ว เราเลยโยกย้ายชั้นหนังสือและของเล่นมาอยู่ในห้องนั่งเล่นติดโต๊ะวางทีวี นอกจากนี้อาม่าจะได้เห็นชัดๆว่าลิงน้อยเล่นอะไรอยู่ระหว่างดูทีวี และที่สำคัญมามี้จงใจเอาชั้นวางของมาบังสายไฟ ปลั๊กไฟที่ลิงมันชอบเข้าไปเล่น ของเล่นของปะป๊าคืออะไร ไว้ทำเสร็จจะมาโชว์อีกที
ของเล่นใหม่เสร็จแล้ว ไว้มาเล่าต่อตอนหน้า

โยกๆๆ ย้ายๆๆ จัดๆๆ เก็บๆๆ มาสองวัน ได้ฝาถ้วยน้ำอาม่าคืนมาแล้ว เหลือที่กรองใบชาไม่รู้ไปหลบอยู่ไหน ไม่เป็นไร มามี้เชื่อ สสารไม่หายไปไหน แค่เคลื่อนย้ายเท่านั้น  ไว้ธันธันต่ออีกหน่อย จัดห้องใหม่คงเจอ



วันอังคารที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2557

ปั้มนม มาตรการเยียวยารักษาใจแม่ทำงานนอกบ้าน


"พี่มาทำอะไรที่ห้องLegalบ่อยจัง ผมสงสัย" 
"มาปั้มนม"
"...อ้อ มิน่าล่ะ" ชายหนุ่มถามเริ่มน่าแดงๆ
"เข้ามาดูข้างในมั้ย"
"ไม่เป็นไรคับพี่ 555" หัวเราะแบบเขินๆแล้วเดินจากไป

มุมปั้มนมในห้องเก็บเอกสารของฝ่ายLegal

กลายเป็นเรื่องโจ๊กของแม่ๆขาปั้มนมไปเลย เมื่อชายหนุ่มเจ้าของคำถามซึ่งลูกชายคนเล็กเจ้าของบริษัท เป็นหนุ่มน้อยไฟแรงดีกรีนอก เกิดสงสัยในพฤติกรรมแสนจะเปิดเผยของเราว่าฝ่าย process development มันมาทำไรกับฝ่ายกฎหมายบ่อยๆเนี่ย หรือมาอู้ มาเมาส์ พอเจอคำตอบของรุ่งกานต์แบบไม่ได้คิดอะไร แถมสวมวิญญาณแม่อาสาชอบชวนคนมาปั้มนม ให้นมแม่ ไม่เว้นหญิงชาย ทำเอาหนุ่มน้อยหน้าแดงไปต่อไม่ถูก แต่อย่างน้อยจะได้ไม่ต้องสงสัยว่า ทำไมเราต้องมาที่นี่ทุกวัน วันละ 2-3 ครั้ง ก็มาทำหน้าที่ของแม่ ในแบบของสาวออฟฟิส สำหรับธันธัน เราตั้งใจจะปั้มไปถึงสองขวบ ตอนนี้มาได้ครึ่งทางแล้ว ตั้งใจว่าปั้มได้เลยๆแน่นอน ยิ่งมีมุมปั้มนมส่วนตัว (คิดเองเออเองว่าเป็นของส่วนตัว) ยิ่งสู้ตาย
 
ปั้มนมเก็บ วันท่ี 12-12-2012

ย้อนนึกไปถึงสมัยฮั่นเป็นเบบี้ หลังสามเดือนที่อยู่กับลูกทั้งวันทั้งคืน เม่ือต้องกลับไปทำงานวันแรก จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว พะว้าพะวงอยู่สองเรื่อง เรื่องแรกคิดถึงลูกมากกกกก อยากรู้ว่าลูกจะอยู่ยังไง งอแงมั้ย พ่อมันจะล้างก้นลูกสะอาดมั้ย ลูกจะกินนมจากขวดมั้ย เรื่องที่สอง คือ ปั้มนม ฉันจะปั้มนมที่ไหนเนี่ย เมื่อไร ยังไง ไม่รู้จะไปถามใคร บริษัทconsult สมัยนั้น มีผู้หญิงแต่งงานก็ว่าแปลกแล้ว นี้ แต่งงานและมีลูกนี่ยิ่งแปลกเข้าไปใหญ่ โชคดีที่พี่หัวหน้าเราก็ท้องตามหลังเรามาสามเดือน เลยมีเพื่อนหัวอกเดียวกันหน่อย แต่วันแรกกลับมาทำงาน พี่หัวหน้าก็ลาคลอดพอดี ต้องรอไปอีกสามเดือนกว่าจะเจอกัน ในเมื่อไม่มีใครให้หันหน้าปรึกษา ก็เลยไปปั้มนมในห้องน้ำ ด้วยความที่เป็นแม่มือใหม่ กลับมายังไม่มีงานทำเยอะ เราก็เลยปั้มนมทุก 2 ชั่วโมง ปาเข้าไป 5 รอบ ได้นมแบบเล็กๆน้อยๆ สะสมไปเรื่อย  จนมีคนมากระซิบว่าลองไปดูอีกชั้นหนึ่งสิ มีห้องปั้มนม  ก็เลยรีบไปหาทันที  เป็นห้อง file room ที่เก็บเอกสารของฝ่าย Tax and Legal  มีแม่นักปั้มมาบุกเบิกไว้แล้ว ในห้องซึ่งเต็มไปด้วยชั้นวางเอกสารและกองกล่องเก็บเอกสารเต็มไปหมด ตรงมุมเล็กๆท่ามกลางกองเอกสารมี กล่องเอกสารเรียงอย่างดี ปูด้วยผ้าอ้อมมีกระเป๋าปั้มนมของแม่คนอื่นวางอยู่ แถมยังเอาตู้เย็นเล็กไว้ด้วย เก้าอี้เล็กๆสองอัน ว้าวสุดยอด หน้าห้องมีป้ายสัญลักษณ์ไว้ว่า กำลังปั้มนมอยู่ แค่นี้ก็โอเคแล้ว มียุ่งยากนิดหน่อยตรงที่ต้องขอกุญแจจากเลขาประจำฝ่ายทุกครั้งและนั่งๆไปก็เสียวๆไม่รู้ว่าเอกสารจะตกลงมาใส่หัวเมื่อไร และอากาศก็ไม่ค่อยมีหายใจ  

ปั้มในห้องนั้นได้ไม่กี่เดือน บริษัทก็ใจดี จัดห้องปั้มนมให้ใหม่ โดยให้ใช้ห้องเก็บตู้ server แทน ห้องติดหน้าต่าง มีแสงสว่าง ที่สำคัญสะอาด กว้างขวางและเย็นสบาย ไม่ต้องคอยไปขอกุญแจใคร เข้าเมื่อไรก็ล็อคประตูเป็นอันโอเค แต่เพราะอยู่ชั้นของพวก Audit เวลาเข้าออกชั้น ต้องให้พนักงาน Audit มาสแกนบัตรเปิด-ปิดประตูให้ กำลังเข้าที่เข้าทาง เราก็ต้องไปทำงานที่ไซด์ของลูกค้าแทน ห้องปั้มนมก็เปลี่ยนไปตามบริษัทของลูกค้า หลายบริษัทมีห้องปั้มนมให้เป็นสัดเป็นส่วน แต่หลายที่ก็ไม่มี เราก็ขอใช้ห้องเก็บของของแม่บ้านบ้าง ห้องประชุมมั้ง ห้องน้ำบ้าง ห้องพยาบาล หรือปั้มบนรถก็มี ท่ีบ่อยสุดก็ใช้ห้องที่ทำงานนั้นแหล่ะ เวลาจะปั้มก็ไล่พวกผู้ชายออกไป เพื่อนสาวๆก็ดูจนเบื่อจนเลิกดูไปแล้ว พอพี่หัวหน้ากลับมาจากลาคลอดก็มาเป็น buddy ปั้มนมกัน เป็นเรื่องดีมากเพราะจะช่วยพากันไปปั้ม ไม่เหงา ช่วยให้กำลังใจกันและกัน แถมเวลาปั้มนมก็ยังได้ปรึกษาเรื่องงาน และเรื่องอื่นๆอีกด้วย 

ระหว่างที่ทำงานไป คิดถึงลูกไป การปั้มนมถือเป็นกิจกรรมเยียวยารักษาใจแม่สาวออฟฟิสอย่างเรามากๆ เป็นการปลอบใจตัวเองว่าได้ทำหน้าที่ของแม่ได้ถึงแม้ไม่ได้อยู่เลี้ยงดูด้วยตัวเอง อย่างน้อย by product ก็ได้นมแม่ จะมากจะน้อย ก็มีเก็บกลับไปให้ลูกกินทุกวัน ตอนปั้มนมไปก็เปิดมือถือ ดูรูปลูกไป หรือคลิปลูกไป คิดถึงลิงน้อยไป เป็นห่วงสาระตะ ยิ่งคิดถึงมากก็ยิ่งใส่ใจกับการปั้มนมมากมาย  จนฮั่นเริ่มโต งานเราก็เริ่มยุ่ง เริ่มเครียด เวลาปั้มนมก็เริ่มลดลง ประกอบกับมีแรงกดดันจากที่บ้านให้งดนมก่อนนอน ประจวบเหมาะ เราต้องไปทำงานไซด์ลูกค้าต่างจังหวัด จึงได้ฤกษ์เลิกปั้มนมกัน ดึงมาได้จนฮั่นเกือบจะขวบพอดี เราก็เลยเลิกปั้มนม (แต่ยังไม่เลิกดูดนมจากเต้านะ อันนั้นอีกนานเลยกว่าจะหย่านมกันได้เด็ดขาด) เลิกใหม่ก็รู้สึกหวิวๆ เศร้าๆ เหมือนกับว่า ฉันไม่ได้ทำหน้าที่ของความเป็นแม่ที่ดี ได้แต่ปลอบใจตัวเองว่า ยังมีอีกหลายอย่างที่แม่ทำงานนอกบ้านสามารถทำให้ลูกได้ ยิ่งลูกโตขึ้นก็ยังมีสิ่งที่ต้องให้แม่มือโปรอย่างเราไปช่วยพัฒนาในด้านๆต่างๆแทน จากนั้น เราจึงเปลี่ยนไปหากิจกรรม ซื้อหนังสือ หาโปรแกรมท่องเที่ยว ฯลฯ แทน
ปั้นนมไปเหง่ือไหลไปในห้องไม่มีแอร์

มาสมัยนี้ ตอนมีธันธัน ย้ายที่ทำงานใหม่แล้ว บริษัทนี้ก็ไม่มีห้องปั้มนม เมื่อเรากลับมาทำงานหลังลาคลอดวันแรก survey รอบบริษัท ก็ตกลงใจว่าจะใช้ห้องทานอาหารของผู้บริหาร กว้างขวางดีแต่ร้อนเพราะจะเปิดแอร์เฉพาะให้ผู้บริหารหรือให้แขกที่มากินข้าวเท่านั้น ตอนหน้าร้อน ปั้มไปเหงื่อไหลไป นมวันนั้นก็เค็มกว่าปกติ  ปั้มได้ไม่นาน เพื่อนท้องร่วมรุ่นที่ทำงานอยู่ฝ่าย Legal กลับมาจากลาคลอดพอดี คุยปรึกษากันแล้วก็เลยขอหัวหน้าเพื่อใช้ห้อง Legal เป็นที่ปั้มนม สะดวกดี ห้องนั้นจึงกลายเป็นห้องปั้มนมของแม่ลูกอ่อน และเป็นแหล่งซ่องสุ่มเม้าส์มอยของหมู่เพื่อนๆ สาวๆ ที่แวะเวียนมา ด้วยเพราะมีประสบการณ์จากตอนฮั่นแล้ว ทำให้เราไม่ค่อยวิตกจริตหรือหมกมุ่นกับการปั้มนมมากนั้น แถมไม่ต้องออกนอกสถานที่ ยิ่งทำให้เราวางตารางมาปั้มนมได้สบายๆ ช่วงแรกๆก็วันละ 3 ครั้ง วันไหนติดประชุมก็ 2 ครั้ง อย่างน้อยๆก็ต้อง 2 ครั้งต่อวัน เพื่อไม่ให้คัดนมมากนัก ปั้มนมมาได้ประมาณครึ่งปี บริษัทก็ renovate ที่ทำงานและเราถูกย้ายมาทำงานที่ชั้นใหม่ ห้อง Legal ก็ทำใหญ่ขึ้น และมีห้อง file room ใหม่และใหญ่กว่าเดิม มิดชิดกว่าห้องเก่า เราก็จัดแจงเอาโต๊ะกับเก้าอี้พับได้เล็กๆ เข้าไปจัดมุมนมแม่ไว้ใช้กับเพื่อนๆแม่นักปั้มกันจากนั้นเป็นต้นมา 
กิจวัตรการปั้มนม เพื่อปลอบใจว่าได้ทำหน้าที่ของแม่ที่ดี ก็ดำเนินต่อเนื่องมาจนถึงทุกวันนี้  

โต๊ะ เก้าอี้และอุปกรณ์ปั้มนม

อีกวัตถุประสงค์หนึ่งที่เราต้องปั้มนมเป็นประจำ เพราะยังอยากให้ลูกกินนมจากเต้าตอนอยู่บ้าน เพื่อให้ร่างกายยังคงผลิตนมอยู่ตลอดเวลา ก็ต้องปั้มนมออก ไม่ให้นมค้างเต้าซึ่งจะทำให้การผลิตนมลดลง  การเป็นแม่คนทำให้เราได้เรียนรู้ธรรมชาติของร่างกายที่ช่างมหัศจรรย์มาก เมื่อร่างกายรับรู้ว่ามีการเอานมออกไปใช้ ทั้งจากการให้ลูกกินหรือปั้มออกไป ร่างกายก็รีบสั่งการให้ต้องผลิตมาเพิ่มเติมเพื่อให้สามารถมีน้ำนมเพื่อเลี้ยงดูลูกน้อยของเราอยู่ตลอดเวลา จึงไม่ต้องแปลกใจว่า ทำไมเห็นหลายบ้าน ที่คุณแม่ยังมีนมให้ลูกกินได้ถึง 6-7 ขวบ  นอกจากนี้ ร่างกายยังรับรู้ว่าแม่ยังต้องเลี้ยงลูกอ่อน ก็ไประงับไม่ให้ร่างกายหยุดการสร้างเด็กขึ้นมาใหม่ แม่ปั้มนมส่วนใหญ่กว่าประจำเดือนจะมา ก็อาจจะเป็น 1-2 ปีก็มี ตอนสมัยฮั่น ประจำเดือนเรามาตอนฮั่นเก้าเดือน สำหรับธันธัน ปีกว่าแล้ว ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะมาเลย รู้สึกดีมาก (ชอบเพราะมักจะมีประเด็นตอนมีประจำเดือนเสมอ)   ไม่เพียงแต่ร่างกายของแม่ที่อัศจรรย์แล้ว สำหรับลูกน้อย การให้นมแม่เป็นเสมือนการแสดงความรัก ความอบอุ่น ได้โอบกอดได้กกลูก ลูกก็ชอบเหลือเกิน ไม่ว่าแม่จะตัวเหม็นเหงื่อแค่ไหนก็ชอบดูดนมเสมอ เวลาลูกร้องไห้ หรือตกใจ หรือไม่สบาย เรามักให้ลูกดูดนมเพื่อปลอบประโลมให้ลูกรู้สึกสงบ และคลายกังวลใจ  แม้จะโดน comment เรื่องว่ามีอะไรก็ยัดนม ทำไรก็ยัดนมให้ลูกกิน แต่เราก็ไม่สนใจ เพราะเมื่อมีเริ่มก็ต้องมีเลิกรา ก็ต้องมีหย่านมกันสักวัน แต่วันไหนนั้น ขอแม่ลูกตกลงกันเอง จบป่ะ (ไว้จะมาเล่นตอนให้ฮั่นหย่านมที่หลัง)

แม้เพื่อนท้องร่วมรุ่นจะเลิกปั้มนมไปแล้ว (ปั้มได้ปีพอดี) แต่เรายังคงปั้มอยู่ทุกวัน มีวินัยและอดทนมาก จะมีประชุมยาวแค่ไหนหรือยุ่งปานใด ก็ต้องเข้าห้องไปปั้มอย่างน้อยวันละ 1-2 ครั้ง เป็นกิจวัตรประจำวันไม่ต่างอะไรกับที่เราต้องกินข้าวกลางวันทุกวัน ทุกวันก็จะหิ้วกลับบ้านไปแช่เก็บในตู้แช่แข็ง ปัจจุบัน จำนวนนมที่ได้น้อยยังไง ก็ยังได้ปริมาณเท่าเดิม แต่ไม่ลดไม่เพิ่ม  ซึ่งธันธันกินจุมาก มีช่วงหนึ่งปั้มไม่ทันกิน เพราะปริมาณการผลิตนมต่อวันมีจำนวนจำกัดจริงๆ เล่นเอาเครียดไปพักใหญ่ ต้องเอานมถั่วเหลืองบ้าง นมกล่องบ้าง หรือไปขอสต็อกนมคุณแม่เพื่อนฮั่นบ้างมาเสริมสต็อก ให้อาม่าป้อนข้าวเยอะขึ้น ไปซื้อยาประสระน้ำนมมาเพิ่มน้ำนม รวมทั้งเพิ่มรอบในการปั้ม จนสุดท้ายก็สามารถ build สต็อกนมกลับมาได้ เหลือกินเหลือเก็บจนทุกวันนี้ 

ฮั่นวัย 5 ขวบ และธันธัน วัย 14 เดือน ยังชอบกินนมแม่มาก แต่ที่สองลิงชอบมากที่สุดคือ แย่งกันกินนมจากเต้า (ห้ามแซวฮั่นเรื่องนี้เป็นอันขาด ฮั่นไม่ชอบและโกรธมาก เพราะเคยโดนเพื่อนแม่มาแซวหลังจากเห็น post ใน Facebook) ส่วนแม่วัย 35 ขวบอย่างเรา สิ่งที่ชอบมากที่สุดในที่ทำงาน ยกเว้นเพื่อนร่วมงาน ก็คงเป็น ปั้มนม (อันนี้ ใครจะไปฟ้องเจ้านายหรือเพื่อนร่วมงาน ไม่ค่อยแคร์เท่าไร เพราะเค้ารู้กันทั่วว่า รุ่งกานต์ เป็นนักปั้มตัวหยง) ตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะปั้มนมให้ธันธัน ให้ครบ 2 ปีอย่างแน่นอน มั่นใจมากว่าทำได้แน่นอน (ถ้าไม่ลาออกจากงานก่อนนะ) 



ปล. บทความส่วนใหญ่ใน blog นี้ ถูกเขียน เรียบเรียง และ upload ในระหว่างปั้มนม