วันพุธที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2558

Fun & Easy DIY Christmas Card - Finger print Ideas ไอเดียง่ายๆ สำหรับสร้างสรรค์การ์ดวันคริสต์มาสผ่าน Finger Paint

รวบรวมไอเดียเก๋ๆ ง่ายๆ น่ารักๆ ที่จะทำการ์ดหรือภาพตกแต่งด้วยสี Finger paint สำหรับวัน Christmas หรือการ์ดวันปีใหม่ เด็กๆมาทำด้วยกันได้ค่ะ คราวนี้ ได้ทำศิลปะจากร่างกายของเด็กๆเองนี้แหล่ะค่ะ ไม่ต้องใช้อุปกรณ์มากมาย เน้นใช้นิ้วมือ ฝ่ามือ และฝ่าเท้ามาสร้างสรรค์งานศิลปะกัน สนุกอย่างแน่นอน  

อุปกรณ์ที่ขาดไม่ได้ก็คือ สี Finger paint กระดาษแข็งแบบสี (แล้วแต่แบบ)  ถ้าไม่มีสี finger paint สามารถใช้สี poster ได้ค่ะ แต่แนะนำเป็นสี finger paint ดีกว่า เพราะสีจะล้างออกง่าย เนื้อสีเหมาะกับการทามือ และระบายด้วยมือและนิ้ว ไม่เป็นอันตรายกับผิวหนัง และไม่มีกลิ่นฉุนเหมือนสี poster ค่ะ 

สำหรับเด็กเล็กที่คุณพ่อคุณแม่เป็นห่วงว่าลูกจะเอาสีเข้าปาก ก็จะแนะนำให้คุณพ่อคุณแม่ทำสีแบบกินได้ค่ะ คือใช้โยเกริต์แบบไม่ผสมอะไร แล้วแบ่งใส่สีผสมอาหาร ตามสีที่จะใช้ค่ะ แค่นี้ก็หมดหวังเรื่องน้องเอาสีเข้าปากได้เลยค่ะ 

Santa
เลือกกระดาษสีเขียวเป็นพื้น แล้วใช้สีขาวทาฝ่ามือ แปะลงกระดาษเป็นหนวดของซานต้า จากนั้น ตกแต่งหน้าตา หมวกให้สวยงามตามชอบค่ะ
ดูวิธีทำและการ์ดจาก finger print แบบอื่นๆจาก http://www.momalwaysfindsout.com/holiday-crafts-with-fingerprints/


   อีกแบบ ต้องใช้สองสีเวลาทาฝ่ามือเพื่อให้ได้ซานต้าค่ะ คือสีขาวทาตรงนิ้วเป็นหนวด ส่วนสีแดงทาตรงบนฝ่ามือกับนิ้วโป้งเป็นหมวกของซานต้า เติมหนวดและหน้าตาใจดี มีแก้มแดงๆ แค่นี้ก็น่ารักแล้วค่ะ ลองเลือกดูว่าชอบแบบไหนนะคะ


     ดูวิธีทำโดยละเอียด จาก http://www.craftymorning.com/santa-claus-handprint-christmas-craft/


Christmas tree & Wreath
ใช้ปลายนิ้ว จุดจุดเป็นต้นคริสต์มาส และพวงไม้ แต้มด้วยจุดแดง หรือติดกระดาษวิบวับหน่อยหนึ่ง ก็สวยแล้วค่ะ ใช้นิ้วทาสีน้ำตาลเขียนเป็นลำต้นอีกสักหน่อย ไม่ยากเลยค่ะ


รูปและวิธีทำโดยละเอียดที่ http://handsonaswegrow.com/fingerprint-christmas-cards/

หรือจะลองใช้ฝ่าเท้าเล็ก สร้างสรรค์เป็นต้น Christmas ก็น่ารักไปอีกแบบค่ะ อย่าลืมดาวบนต้นไม้นะคะ 

Snowman 
เตรียมกระดาษสีน้ำตาล กับสี finger paint สีขาว  ใช้ทั้งฝ่ามือของเด็กๆ แปะเลยค่ะ คุณพ่อคุณแม่ช่วยตกแต่งหน้าตา หมวกกับมือให้ snowman ที่นี้ก็ได้ครอบครัว Snowman น่ารักๆ แล้วค่ะ 

ลองให้เด็กๆ ช่วยคิดคำเก๋ที่จะเขียนบนการ์ดด้วยก็ดีนะคะ ยิ่งให้เด็กๆเขียนเอง การ์ดก็จะยิ่งน่ารักมากขึ้นค่ะ 


ดูวิธีทำแบบละเอียด http://factorydirectcraft.com/factorydirectcraft_blog/fingerprint-snowmen/

อีกแบบ ก็ง่ายค่ะ ใช้นิ้ววาดเป็นกลมๆ แล้วเติมหน้าตา และเครื่องแต่งกาย มี action ได้มากมาย ชวนเด็กๆคิดท่าให้ snowman ได้ตามจินตนาการเลยค่ะ ถ้าน้องๆชอบมนุษย์หิมะตัวใหญ่ อาจจะใช้หัวมันฝรั่ง ฝ่าเป็นแม่พิมพ์ ปั้มออกมาเป็นตัวใหญ่ได้ค่ะ หรือจะใช้กำปั้นของคุณพ่อ ก็ลองชวนลูกคิดดูว่าทำยังไรดี 

อ้อสีที่ไว้เขียนหน้าตา อาจจะใช้สีเมจิก หรือสีเทียนก็ได้นะคะ แต่ต้องรอให้สีที่เพิ่ง paint ลงไปแห้งก่อนนะคะ 

ดูวิธีทำแบบละเอียด http://www.craftymorning.com/diy-fingerprint-snowman-winter-craft/

ไฟประดับวันคริสต์มาส
อีกสัญลักษณ์หนึ่งของเทศกาลคริสต์มาสก็คือ ไฟประดับหลากสี เป็นอีกแบบที่ทำง่ายมาก และสนุกด้วย เพราะเด็กๆได้ใช้หลายสีค่ะ เพื่อให้สวยเด่น ให้ใช้กระดาษขาวเป็นพื้นนะคะ และเลือกสีตามใจชอบ จากนั้น ใช้ปลายนิ้วเล็กจุ่มสี แปะให้กลมๆ เว้นระยะสักหน่อย ปิดท้ายด้วยการเขียนเส้น ค่อยให้เด็กๆลากเส้นสายไฟเชื่อมกัน ถ้ากลัวไม่สวย คุณพ่อคุณแม่วาดลายด้วยดินสอไว้ก่อนแล้วให้น้องลากตามก็ได้ค่ะ แค่นี้ก็เสร็จแล้วค่ะ ดูสวย และโปรมากๆเลย


ดูวิธีทำแบบรายละเอียดที่ http://www.craftymorning.com/fingerprint-christmas-light-craft-for/

Reindeer 
สนุกกับฝ่ามือไปแล้ว มาสร้างสรรค์กวางเรนเดียร์ด้วยฝ่าเท้าเล็กๆกันดีกว่าค่ะ ชอบมากเลย เพราะมีแค่ 8 ขั้นตอนเท่านั้นเอง ถ้าทำกันทั้งครอบครัว ก็จะได้กวางตัวเล็ก กวางตัวใหญ่ ตามไซด์เท้าของคุณลูกคุณพ่อคุณแม่ค่ะ ก่อนจะทำอันนี้ แนะนำให้วางแผนการทำความสะอาดให้ดีนะคะ ไม่งั้นรอยกวางคุณลูก เต็มบ้านแน่ๆเลยค่ะ ^^ 


ดูวิธีทำ 8 ขั้นตอนในการทำ ที่ http://cutediyprojects.com/diy/creative-reindeer-footprint-craft-8-easy-steps/

นอกจากนี้ ยังมีหมวกกวางน้อย พิมพ์กันทั้งแขนเลยค่ะ ทำไม่ยากอีกเช่นเดียวกัน พิมพ์แขนกันเลยทั้งสองแขน จากนั้นตัดออกมากพึ่งให้แห้ง ก็จะได้เขากวางของใครของมัน แขนยาวก็เขายาวค่ะ เอามาประกอบร่างกับกระดาษส่วนที่เป็นหมวก คุณพ่อคุณแม่เตรียมตัดกระดาษเป็นตา กับจมูกให้เด็กๆมาแปะ แค่นี้เด็กๆ ก็ประดิษฐ์หมวกกวางเล่นกันสนุกแล้วค่ะ



 ดูวิธีทำแบบรายละเอียดที่ http://www.meetthedubiens.com/2012/12/handprint-reindeer-antlers.html


หวังว่า ไอเดียข้างต้นจะช่วงให้คุณพ่อคุณแม่ที่กำลังคิดหากิจกรรม หรือหาของขวัญของที่ระลึกว่าคริสต์มาสและเทศกาลปีใหม่นี้ ให้เด็กๆ ได้ลงมือทำ DIY card กัน มอบให้คุณปู่คุณย่า คุณตาคุณยาย หรือญาติๆ เพื่อนๆ ทำเอง ทั้งสนุก และน่าภูมิใจคะ ผลงานออกมาเป็นยังไงก็มาแชร์กันให้ดูบ้างนะคะ


สำหรับเซทสี Finger paint ปลอดภัยสำหรับเด็ก หาดูได้ที่  www.toyforbrain.com


วันอังคารที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2558

4 วิธีออกกำลังกายมือน้อยๆ ให้แข็งแรงพร้อมเขียนหนังสือ

4 วิธีออกกำลังกายมือ (Hand Exercise) กับกิจกรรมสนุกๆ รอบบ้าน
เด็กๆที่มีปัญหาเรื่องการเขียนหนังสือ  ส่วนหนึ่งมาจากที่กล้ามเนื้อมือยังไม่พร้อมต่อการจับดินสอ ทำให้ผ่อนแรงมือไม่เป็น เขียนเบาเกินบาง เขียนหนักไปบ้าง เขียนไม่ตรง หรือตามรูปตัวอักษรที่ควรจะเป็น การที่ให้เด็กๆ เขียนตัวอักษรซ้ำไปซ้ำมา ยิ่งทำให้เด็กๆที่เขียนไม่สวยไม่เก่งหมดกำลังใจค่ะ ลองมาดูแนวทางในการออกกำลังกายมือน้อยๆ แบบสนุกๆ และได้ทำศิลปะแบบเพลิน เพื่อเสริมให้ลูกมีมือที่แข็งแรง พร้อมต่อการเขียนที่โรงเรียนกันค่ะ  

1. ขยำกระดาษ Paper crumpling
ให้เด็กๆ ขยำกระดาษหนังสือพิมพ์ ใบปลิวที่ไม่ได้ใช้แล้ว ให้เป็นก้อนเล็กที่สุด และแน่นที่สุด เมื่อเด็กๆ เริ่มมีแรงมือมากขึ้น ลูกบอลจะแน่นขึ้น ให้เพิ่มความยากด้วยการใช้หนึ่งมือในการขยำ 

คุณพ่อคุณแม่สามารถชวนลูกๆทำงานศิลปะโดยใช้กระดาษสี มาขยำ แปะตกแต่งตามรูปหรือลวดลายที่วาดไว้ในกระดาษวาดเขียนแบบแข็ง เสร็จแล้วจะได้เป็นผลงานศิลปะให้เด็กๆ ภูมิใจได้ค่ะ  อ้อ เล่นเสร็จ อย่าลืมล้างมือให้สะอาดนะคะ


2. บีบฟองน้ำ Squeezing sponges
เล่นช่วงอาบน้ำ ให้เด็กๆบีบน้ำออกจากฟองน้ำ จะใช้ฟองน้ำล้างจาน หรือฟองน้ำถูตัวก็ได้ค่ะ อาจจะเพิ่มความยากด้วยฟองน้ำที่ไซด์ใหญ่ขึ้น เช่น ฟองน้ำล้างรถที่แน่นๆแข็ง บีบน้ำออกให้มากที่สุด

เพิ่มความสนุกกับการออกกำลังกายมือด้วยการชวนเด็กๆทำความสะอาดจานชามด้วยฟองน้ำกับคุณพ่อคุณแม่ 


3. ฉีดน้ำด้วยขวดแบบสเปรย
ให้เด็กๆ ฉีดน้ำ รดน้ำต้นไม้ หรือฉีดน้ำบนกำแพงบ้าน หรือในห้องน้ำ เด็กๆต้องออกแรงมือและนิ้วเพื่อบีบให้น้ำออกมา ช่วยให้มือได้ออกแรงทั้งมือและนิ้ว 

เพิ่มความสนุกและจินตนาการ โดยใส่น้ำสีเข้าไปในกระบอกสเปรย์ฉีดน้ำ ให้เด็กๆฉีดบนกระดาษทำเป็นศิลปะได้ค่ะ แต่ก่อนเล่น ต้องตกลงกันก่อนนะคะว่า ฉีดได้เฉพาะบนกระดาษ หรือที่ๆกำหนดไว้เท่านั้น เล่นเสร็จช่วยกันเก็บกันเช็ดค่ะ 


4. ตัดกระดาษตามเส้น
การใช้กรรไกรที่ถูกต้อง คือ ต้องใช้นิ้วโป้ง กับนิ้วกลาง กรณีที่ช่องจับกรรไกรใหญ่ ให้เด็กใช้ทั้งนิ้วกลางและนิ้วชี้ในการจับกรรไกร เด็กเล็กอาจจะให้ตัดแบบฟรีสไตล์ เด็กเริ่มโตหน่อย ควรมีเส้นให้เด็กๆได้ตัดตามเส้น เพื่อได้ฝึกควบคุมมือ และการทำงานของตากับมือค่ะ ทำสนุกๆไม่ต้องเครียดนะคะ ตัดกระดาษสีหลายๆสี ออกมาแปะลงกระดาษเป็นรูปต่างๆ สร้างสรรค์ตามใจ 
5


เด็กๆสามารถเริ่มกิจกรรมได้ตั้งแต่เล็กค่ะ ส่วนเด็กโตที่มีปัญหา ลองเพิ่มความยากหรือซับซ้อนในการทำกิจกรรมแต่ละอย่างอีกขั้นหนึ่งค่ะ  ยังมีกิจกรรมอื่นๆ ที่เสริมกล้ามเนื้อมัดเล็กของเด็กๆ ให้พร้อมกับการเขียน วาด และจับดินสอนะคะ ติดตามกันต่อได้ค่ะ 

เนื้อหาเรื่องการออกกำลังกายมือจาก www.ot-mom-learning-activities.com
รูปและกิจกรรม
www.soheresmylife.com
www.carrotareorange.com
www.hobomama.com
www.thingstoshareandremember.com

วันจันทร์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2558

Review หนังสือ โรงเรียนพ่อแม่ ตอน ผลัดใบชีวิต ของครูณา

Review หนังสือ โรงเรียนพ่อแม่ ตอน ผลัดใบชีวิต ของครูณา (อังคณา มาศรังสรรค์) พิมพ์ครั้งที่ 4 (ฉบับปรับปรุงใหม่) 


หลายครั้งที่รู้สึกว่ายังทำหน้าที่ของแม่ไม่ดีพอ เผลอปล่อยอารมณ์หรือเกรี้ยวกราดกับลูก บางครั้งก็ทำตัวไม่น่ารักกับสามี ทั้งที่พื้นฐานตัวเองไม่ใช่เป็นคนเหวี่ยงวีน เมื่อรู้สึกตัวภายหลังก็เสียใจ และอยากที่จะย้อนเวลานั้นกลับไปหยุดการกระทำของตัวเองไว้ อยากแก้ไข และตั้งใจใหม่ว่าจะไม่เกิดซ้ำ 

เมื่อโดนกระทบใจเรื่องนี้ที่ไร จุ๊บมักจะนึกถึงคำของพระไพศาล วิสาโล "ต้นไม้ยังผลัดใบได้ฉันใด ชีวิตก็สามารถสลัดความเจ็บปวดและความผิดพลาดในอดีตได้ฉันนั้น" ซึ่งเป็นคำนิยมบนหนังสือผลัดใบชีวิตของครูณา และคิดถึงข้อคิดคำสอนดีๆของครูณาในหนังสือ และจากที่เคยไปอบรมกับครู จนต้องหยิบหนังสือขึ้นมาอ่านเพื่อเตือนสติของตนเอง ทบทวนให้ใช้ชีวิตและคิดช้าลง และที่สำคัญเพื่อเพิ่มพลังบวกในการดำเนินชีวิตกับคนรอบข้างอย่างมีสติ 

หากไม่เคยอ่านหนังสือของครูณามาก่อนจะรู้จักกับครู จุ๊บคงไม่เชื่อว่า ครูจะเคยเกรี้ยวกราดดุด่ากับลูก หรือแม้กระทั่งรำคาญและมองข้ามความรักและเอาใจใส่สามีได้เลย อะไรทำให้คุณแม่ลูกสอง หญิงเก่งและแกร่งที่ประสบความสำเร็จด้านการงาน จากวิศวกรปริญญาโทมาเป็นผู้บริหารโรงเรียนที่มีชื่อเสียงมากแห่งหนึ่งในนครสวรรค์ แต่ไม่สามารถจัดการปัญหาครอบครัวได้จนเกือบหย่าร้างกับสามี กลายมาเป็นครูณาที่แสนอบอุ่นเต็มไปด้วยพลังบวก ผู้ก่อตั้งโรงเรียนพ่อแม่ลูก และมูลนิธิพื้นที่ปัญญ์รักที่มุ่งเน้นการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างเด็กและครอบครัว อยากรู้มั้ยค่ะว่าครูทำได้อย่างไร 

หนังสือถ่ายทอดข้อคิดและวิถีในการย้อนกลับมามีสติตื่นรู้กับทุกความสัมพันธ์กับลูก ครอบครัว และคนรอบข้าง ผ่านเรื่องราวจากชีวิตที่เปลี่ยนแปลงภายในของครูณา ที่ผ่านกระบวนการเรียนรู้และเยียวยาตนเอง จนเข้าใจและยอมรับกับข้อบกพร่องของตนเอง ได้เรียนรู้ที่จะให้อภัยและเปลี่ยนมุมมองทัศนคติ จนครูสามารถพลิกวิกฤตครอบครัวกลับมาได้ และได้กลับไปแก้ไขปมหรือหลุมดำในชีวิตที่มีกับคุณพ่อให้คลี่คลาย คืนความอบอุ่นกลับมาสู่ครอบครัว จนสามารถเผยแพร่ความรักให้กับเด็กๆและครอบครัวต่างๆได้ 

ข้อคิดดีๆ จากหนังสือ "ชีวิตของเรามีพื้นที่ขาวมากกว่าจุดดำ แต่ใจเราต่างหาก ที่เฝ้ามองแต่จุดดำ จนทำให้โลกทั้งใบของเราดำไปหมด" "ยิ่งแสวงหาความสมบูรณ์แบบ ชีวิตเรายิ่งพร่อง ยิ่งเราพอใจในชีวิตที่มีและเป็น ชีวิตเรากลับเต็ม" ส่วนที่ประทับใจที่สุดในหนังสือคงไม่พ้นเรื่องการเลี้ยงลูกค่ะ ครูณายังถ่ายทอดแนวคิดการเลี้ยงลูกด้วยจิตตื่นรู้ มีสติ ไม่ด่วนตัดสินลูก เปิดใจรับฟังลูกด้วยใจ เปิดโอกาสและพื้นที่ให้ลูกคิดและเรียนรู้ 

ครูณาเป็นอีกคนค่ะที่ให้ทำโฮมสคูลให้ลูกแบบ unschooling คือไม่สอน ไม่สั่ง แต่ส่งเสริมลูกในสิ่งที่อยากรู้และอยากเรียน และยังมีเรื่องต่างๆที่สะกิดใจพ่อแม่ให้ย้อนคิด และมีสติกับลูกในปัจจุบัน ทำให้พ่อแม่มีความสงบสุขและมั่นคงกับการเลี้ยงลูก เพราะไม่มีใครที่เป็นแม่ที่สมบูรณ์แบบ แม้ผิดพลั่งพลาดมาเริ่มใหม่ เพราะเราสามารถเป็นพ่อแม่ที่สร้างความสุขและร่มเย็นให้กับลูกได้อย่างแน่นอนค่ะ 

แม่จุ๊บ 

วันพฤหัสบดีที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2558

คุยกับลูกเรื่องความรู้สึกแบบง่ายๆ ผ่าน Inside Out

"ตัวแดงมามี้กำลังจะระเบิดละน่ะ รีบๆอาบน้ำเร็ว" นี่เป็นบทสนทนาที่จริงจัง แกมขำ แต่ได้ผลดีจริง ไม่ทำให้ลูกงอแง แต่ทำตามแม่บอก อย่างขำๆ ส่วนอีแม่ก็ไม่ต้องโมโหที่ลูกอืดอาด บรรยากาศในบ้านมันเปลี่ยนไป เมื่อแม่ลูกคุยและบอกความรู้สึกตรงๆกันมากขึ้น หลังจากได้ดู Inside Out 

เพิ่งได้มีโอกาสได้ดูนั่งดู Inside Out กับลูกๆ หลังจากเห็นคำชื่นชมเกี่ยวกับหนังจากบรรดาเพื่อนๆ และสื่อต่างๆ พอเคลียร์งานได้ว่างๆ คืนนั้น อยู่กันสามคนแม่ลูก (ปะป๊าไปงานแต่งเพื่อน) แม่ลูกช่วยกันจัดบนเตียงเป็น super honeymoon seat เอาโน้ตบุ๊คปะป๊ามาเปิดดู (ห้องนอนไม่มีทีวี) แล้วสามแม่ลูกก็เพลิดเพลินไปกับ movie of the night!!


หนังสนุก เด็กๆหัวเราะตลอดเรื่อง ขนาดธันธันยังขำใหญ่เลย เข้าใจเรื่องหรือเปล่าไม่รู้ หนังเดินเรื่องผ่านอารมณ์และความรู้สึกทั้ง 6 ในหัวของไรลีย์ สาวน้อยแสนร่าเริงวัย 11ปี ที่มีจุดเปลี่ยนในชีวิตที่ต้องย้ายบ้านข้ามรัฐกันเลย จากมินิโซต้าเมืองหิมะเล่นฮอคกี้ได้หลังบ้าน มาอยู่เมืองร้อนบ้านเล็กที่ซานฟรานซิโก ความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นี้ทำให้สาวน้อยเปลี่ยนไป ความรู้สึกทั้ง 6 ก็ปั่นป่วนไปด้วย จะทำอย่างไรให้สาวน้อยไรลีย์กลับมามีความสุข เป็นเด็กร่าเริงสดใสเหมือนดังเดิม 

คนทำหนังเก่งมากที่สามารถแปลงนามธรรมอย่าง อารมณ์ความรู้สึก ถ่ายทอดออกมาเป็น 6 ตัวการ์ตูน ผ่านสี รูปร่าง บุคลิก และอุปนิสัย 
Joy หรือลั้นลา  เธอเป็นสีเหลือง ร่าเริง กล้าหาญ เต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง และความสุข จนบ้างครั้งละเลยเหตุผล
 Sadness หรือเศร้าโศก ตัวอ้วนเตี้ย ตัวสีฟ้า blue ไม่มีแรง หน้าโศกมาก แต่มีความมีเหตุผล ไม่ด่วนใจร้อนตรงข้ามกับ joy อย่างสิ้นเชิง
Fear หรือ กลั้วกลัว ตัวสีม่วง ตาโตตัวลีบ ลุกล้น ตื่นตะหนกตกตื่นตลอดเวลา ถึงจะกลัวโน้นนี้ แต่กลั้วกลัวคอยระมัดระวัง ใส่ใจรอบด้านเพื่อความปลอดภัยของตัวเรา
Disgust หรือ หยะแหยง ชีเลิศขนตายาว ตัวเขียว เนี้ยบทุกกระเบียดนิ้ว คอยพิจารณาว่าอะไรดีอะไรเหมาะกับไรลีย์ทั้งร่างกายและสังคม 
Anger หรือโกร้ธโกรธ ตัวสีแดง ร่างเล็กๆแต่หน้าโหด นักเลงมาก เมื่อโกรธจัดหัวไฟลุก นอกจากที่จะแสดงความโมโหโกธา โกร้ธโกรธเป็นตัวแทนความรักความเป็นธรรม รักษาสิทธิ์ของตน


หนังยังทำให้เด็กๆและผู้ใหญ่อย่างเราเข้าใจการทำงานของสมอง เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างความทรงจำ พฤติกรรมและอุปนิสัยของคนเรา ว่าทำไมหรือจากเหตุการณ์ใดในชีวิตทำให้เรามีนิสัยใจคอแบบในปัจจุบันดี  เออ จะบอกว่ามันยากมากที่จะอธิบายเรื่องพวกนี้ให้ผู้ใหญ่เข้าใจได้ แต่ดูหนังเรื่องนี้จบเลย เห็นความเชื่องโยงเป็นรูปธรรมแบบปอกกล้วยเข้าปากสุดๆ

หนังใช้สัญลักษณ์รูปแทนส่วนลึกในสมองของเราได้น่ารัก เข้าใจง่าย ความรู้สึกผ่านความทรงจำในแต่ละวันกลายเป็นลูกแก้วกลมมีสีสันตามที่เรารู้สึก ถูกจัดเก็บไว้ในโซนความทรงจำระยะยาว หากเหตุการณ์ไหนสำคัญ จะถูกเปลี่ยนเป็นความทรงจำหลัก ความทรงจำหลักจะส่งผลให้เกิดอุปนิสัยพื้นฐานของเรา ใช้เป็นเกาะต่างๆ แทนนิสัยของเรา island of personality ภายในเกาะจะสะสมสิ่งที่อยู่ในความทรงจำเกี่ยวกับเรื่องนั้น ยังมีหลายๆส่วนในสมองที่หนังตีความออกมาเป็นการ์ตูนได้อย่างน่ารัก น่าชัง (มีเสียดสีบางส่วน) ฮั่นชอบตอนที่ศูนย์สั่งการกลายเป็นน้ำแข็งไปหมด เพราะไรลีย์ดูดน้ำแข็งเร็วเกินจนจี๊ดขึ้นหัว

หนังจบแล้ว ถามฮั่นว่าดูแล้วเข้าใจมั้ยเนี่ย ฮั่นหัวเราะบอกขำตัวแดงมาก แล้วก็คุยแต่ตอนที่ตัวแดงโกรธว่ามันฮาขนาดไหน ธันก็พูดตาม ขำตาม จาก feedback ลูก ลองถามหลานสาววัย ป.3 เขาบอกว่า มันเกี่ยวกับสมอง ความโกรธ แต่ไม่ได้อธิบายอะไรได้มากมาย บอกได้ว่า ในตัวหนูมีตัวนี้ตัวโน้นอยู่ เราจึงเข้าใจว่า เด็กๆไม่ได้เข้าใจอะไรลึกซึ้งเกี่ยวกับความเชื่อมโยงต่างๆ มากอย่างที่เราเขียนเอ่ยมาข้างต้น  เด็กได้มีประสบการณ์ที่สนุกกับหนังอีกเรื่องที่แปลกๆดี ที่ไม่มีพระเอก นางเอก ตัวร้าย ฉากต่อสู้ หรือลุ้นตื่นเต้นมากมาย สิ่งที่ได้นอกเหนือจากความสนุกของหนัง เด็กๆ ได้เห็นและเข้าใจความกลัว ความโกรธ ความหยะแหยง ความเศร้าหรือความสุขภายในตัวของเด็กๆเอง เป็นตัวเป็นตนอย่างชัดเจน มันทำให้หลังจบจากหนัง ต้องหาเรื่องต่อยอดจากหนังต่อ

เราเริ่มใช้ตัวแสดง หรือสิ่งต่างๆจาก inside out มาประกอบคำถาม คำอธิบายหรือบทสนทนาให้ฮั่นเข้าใจมากขึ้นถึงความรู้สึกของตัวเอง หรือของพ่อแม่ เช่น เวลาฮั่นโกรธธันธันมาก แทนที่เราจะถามฮั่นว่าโกรธมากใช่มั้ย เราจะคุยกับฮั่นแบบขำว่า ตัวแดงทำงานอยู่ใช่มั้ย ฮั่นก็จะแอบขำลืมโกรธไปแป๊บ ช่วยลดอารมณ์ที่เดือดกับน้องได้ระดับ และคิดว่า ฮั่นคงจะนึกได้ว่า เมื่อ anger นำทีมทีไร เรื่องแย่ๆมักจะเกิดขึ้นทุกที  

เวลาฮั่นโกรธปนเสียใจหลังจากน้องมาทำลายผลงานต่อเลโก้ ฮั่นร้องไห้ เราจะคุยกันถึงตัวสีฟ้า โศกเศร้า ที่ร้องไห้แล้วจะรู้สึกดีขึ้น ไม่น่าเกลียดอะไรที่เด็กผู้ชายจะร้องไห้ 

หรือเวลาที่ฮั่นโอ้เอ้ ให้แม่รอนาน เราก็จะบอกฮั่นว่า ตัวแดงมามี้จะระเบิดแล้วนะ ฮั่นก็เข้าใจว่าแม่เริ่มโกรธ แบบตลกๆขำๆกันทั้งคู่
 
แอบแซวฮั่นว่า ความทรงจำของฮั่นไม่มีสระอิ สระอี ใช่มั้ย เลยลืมประจำเลย ฮั่นพยักหน้าบอก ใช่ แล้วได้แต่หัวเราะ ฮั่นตอบกลับว่า ฉันเพิ่งโยนความจำเนื่อง สระอา ทิ้งไปเหมือนกัน  555 

วันเสาร์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2558

Review หนังสือ พูดกับลูกสไตล์คุณแม่ญี่ปุ่น 66 ถ้อยคำทำร้ายลูกที่คุณอาจไม่รู้

Review หนังสือ พูดกับลูกสไตล์คุณแม่ญี่ปุ่น 66 ถ้อยคำทำร้ายลูกที่คุณอาจไม่รู้



ตั้งแต่ฮั่นเริ่มขึ้นป.1 เริ่มต้องเข้าสู่ชีวิตเรียนที่จริงจัง (กว่าอนุบาล) ต้องไปโรงเรียนเช้าขึ้น เรียนหนังสือมีการบ้าน และงานที่ต้องทำมากขึ้น งานเข้าสิค่ะ กว่าจะดันคุณลูกให้ไปเรียนตามเวลา หรือทำการบ้านให้เสร็จ คุณแม่อย่างเราก็ต้องงัดกระบวนท่าหลายเล่มเกวียนมากระตุ้น เอาใจ ชักชวน เชิญชวน หลอกล่อ หนักเข้าก็เริ่มมีตักเตือน เหน็บ ขู่ และดุว่าในบางครั้ง เหนื่อยและหนักใจจริงๆ เครียดกันทั้งแม่ทั้งลูก หลายครั้งที่ลูกกับแม่ก็เสียน้ำตาเพราะคำพูดที่เราเผลอผลั้งปากออกไปโดยไม่ได้ตั้งใจ หรือกดดันลูกโดยไม่รู้ตัว

เมื่อหยุดพักรบ แล้วได้หยิบหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาอ่าน ก็เริ่มได้เข้าใจว่า ทำไมคำพูดที่เราอยากจะสอนหรือพูดด้วยความรักกับความหวังดี กลับทำให้ลูกหน้าจ๋อย หรือโมโห หรือบางครั้งกลับมีน้ำตา ใครจะไปนึกว่า การที่พูดว่า "ถ้าคิดจะทำ..ลูกต้องทำได้แน่ๆ " จะเป็นการกดดันลูก และอาจจะส่งผลให้ลูกปฏิเสธไม่ทำสิ่งนั้นไปตลอดชีวิต และสุดท้ายเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ก็จะกลายเป็นคนที่ไม่กล้าทำอะไรเลย

ไม่ต่างอะไรกับผู้ใหญ่เลยค่ะ ที่หากมีคนมาพูดตักเตือน หรือวิจารณ์เราว่าเป็นยังไง เพื่อให้เราได้ปรับปรุงหรือพัฒนา แต่ใช้คำพูดที่ลบๆ หรือพูดแบบคาดหวังมากไป ก็ทำให้เราคิดได้สองแง่สองง่ามว่า นี่เขาด่า เปรียบเทียบเราอยู่ได้ หรือประชดเราหรือเปล่า ผู้ใหญ่เองยังคิดไปมากมาย แล้วเด็กๆจะรู้สึกยังไงค่ะ โดยเฉพาะคำพูดนั้นๆออกมาจากปากของคนที่เด็กๆรักมากมาย อย่างคุณแม่และคุณพ่อ

มันเป็นหน้าที่ของพ่อแม่และผู้ใหญ่จริงค่ะที่ต้องระมัดระวังคำพูดที่พูดให้เด็กๆฟัง ทำอย่างไรให้เขาเข้าใจสิ่งที่พ่อแม่อยากจะสื่อสารจริงๆ โดยไม่ทำให้ลูกกลายเป็นคนขาดความมั่นใจในตัวเอง  ไม่นานเชื่อว่า พ่อแม่ต่างเชื้อชาติกัน ก็พูดกับลูกคล้ายๆกันเวลาไม่สบอารมณ์ อ่านแล้วก็พอจะนึกภาพของแม่ญี่ปุ่น เปลี่ยนจากคุณแม่ที่อ่อนโยน กลายมาเป็นแม่นางยักษ์ อย่างแม่ของโนบิตะ ส่วนหนึ่งผู้เขียนบอกว่า คนญี่ปุ่นเป็นคนเก่ง แต่สาเหตุที่ไม่ค่อยมีความมั่นใจในตัวเอง เป็นเพราะการอบรมสั่งสอนในบ้านนั้นเอง คิดแล้วก็จริงนะ ตอนอยู่ญี่ปุ่น เราเห็นได้ชัดเลยว่า คนญี่ปุ่นไม่ค่อยมั่นใจที่จะแสดงออก หรือแสดงความคิดเห็นของตัวเอง ทำอะไรก็เขินๆ เงียบๆหงึมๆ ทั้งที่ตัวเองมีความคิดที่ดีมากๆ เพิ่งเข้าใจว่า ที่เขาเป็นอย่างนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับเด็กๆในบ้านเราที่ถูกพูดดักไม่ให้ทำนั่น ไม่ควรทำนี้ อะไรที่แปลกๆกว่าคนอื่นอย่างทำให้มันเด่นเกินไป อารมณ์ประมาณเดียวกันเลย

หนังสือให้มุมมองของเด็กๆว่าคิดอย่างไง ยกตัวอย่างให้เห็นว่าเพราะอะไรจึงไม่ชอบใจกับคำพูดของพ่อแม่ พร้อมแนะนำคำพูดที่ควรจะใช้ ผ่าน 7 บทที่แบ่งตามถ้อยคำที่สร้างความรู้สึกไม่มั่นใจลูกในแต่ละด้านเช่น บทที่ 1 "ความมั่นใจในตนเองมาจากการที่ลูกรับรู้ได้ว่าเขาคือ 'คนสำคัญ' "  ถ้อยคำในบทจะเป็นประเภทว่าลูกไม่ดี โง่ ทำตัวไม่สมเป็นลูกผู้ชาย ฯลฯ  และเมื่อจบบท จะมี "สรุปท้ายบท" รวบยอดสาเหตุที่ไม่ควรพูดถ้อยคำพูดเหล่านั้น และข้อแนะนำว่าควรทำอย่างไรให้ดีขึ้น

หนังสืออ่านง่ายมากค่ะ สั้นๆได้ใจความอธิบายแต่ละถ้อยคำ อยู่ภายใน 2 หน้า ส่วนอธิบายบอกเล่าสาเหตุง่ายๆว่าทำไมคำพูดนั้นถึงไม่ควรใช้กับลูก มีผลกระทบอย่างไรโดยเฉพาะเรื่องของความมั่นใจของลูก และพฤติกรรมที่อาจจะติดตัวลูกไปจนโต   มุมเล็กด้านซ้ายมือมี "ระดับที่ต้องระวังการใช้คำพูด"อยู่ ยิ่งดาวเยอะยิ่งต้องระมัดระวัง มีภาพการ์ตูนน่ารักๆ ตลกร้ายตามมุขสไตล์ญี่ปุ่น บอกเราว่า รูปแรก เด็กๆรู้สึกอย่างไรกับคำพูดของเรา รูปที่สอง เป็นรูปจำลองเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับคำพูดนั้น  และปิดท้ายด้วย กล่องไฮไลท์สีเขียวที่แนะนำให้พ่อแม่ "ลองเปลี่ยนมาพูดแบบนี้กันดีกว่า" 





ส่วนตัวแล้ว อ่านมา 6 บทแรก รู้สึกว่าโล่งใจที่ตัวเองไม่ค่อยใช้คำพูดลบๆกับลูกเท่าไร มีโดนบ้าง ในบทที่ 4 เช่น "รีบทำการบ้านเร็วๆ เข้า"  "กินแค่นี้เองเหรอ"  กับ "พูดขอโทษเดี๋ยวนี้นะ" ระดับที่ต้องระวังการใช้คำพูดอยู่ประมาณ 2-3 จาก 5 แต่พอมาอ่านบทสุดท้าย "บทที่ 7 ความตั้งใจของลูกที่จะ "รับผิดชอบชีวิตตนเอง" จะช่วยผลักดันให้เกิดความมั่นใจ" บทนี้โดนกับตัวจังๆ อย่างที่เขียนไปตอนแรกว่าใครจะไปนึกว่า คำพูดเชิงบวก เชิงกระตุ้น ก็มีด้านที่ทำลายจิตใจหรือสร้างปมให้กับลูก ซึ่งที่จริงแล้วเราสามารถใช้คำพูดอื่นที่ดีกว่า หรือบางครั้งไม่ต้องพูดคำนั้นออกไปเลยจะดีกว่า ต้องหัดรอคอยให้ลูกได้แสดงความรับผิดชอบออกมาด้วยตัวเอง และไปพูดชื่นชมลูกตอนนั้น ลูกจะภูมิใจและมั่นใจในสิ่งที่ตัวเองทำมากขึ้น เป็นรากฐานที่ดีต่อไปในการกล้าคิด การแสดงออก และรับผิดชอบกับตนเอง โดยที่เขารู้ด้วยว่าที่พ่อแม่ทำไปเพราะว่ารักและหวังดี  

ที่สำคัญ ต้องรีบเอาไปปฏิบัตโดยด่วน จะได้หมดปัญหาสงครามโมโหและเสียน้ำตาระหว่างแม่กับลูกซักกะที  ^^ 


ข้อมูลหนังสือ
หนังสือ พูดกับลูกสไตล์คุณแม่ญี่ปุ่น 66 ถ้อยคำทำร้ายลูกที่คุณอาจไม่รู้

ママ、言わないで!子どもが自信を失う言葉66

ผู้เขียน เทรุโกะ โซดะ
ผู้แปล ภาวิณี ตั้งสถาพรพงษ์
credit รูปปก จาก สำนักพิมพ์ Sand Clock

สนใจหนังสือ ดูได้ที่ http://www.toyforbrain.com/p/275
ฉบับภาษาญี่ปุ่น http://shopping.yahoo.co.jp/product/bb70284007de3d6a0bc0c05c079a0caa/compare.html


วันอังคารที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2558

สื่อและภาพข่าวรุนแรง หลีกอย่างไรให้ไกลลูก

สื่อและภาพข่าวรุนแรง หลีกอย่างไรให้ไกลลูก


จากเหตุการณ์ระเบิดที่ราชประสงค์เมื่อวันที่ 17 พอเปิดมือถือมาเจอแต่รูปน่ากลัวสยอดสยองมาก ทั้งในข่าวและที่แชร์ รวมทั้งข้อมูลข่าวสารอีกมากมาย อ่านแล้วเศร้าใจกับผู้สูญเสีย หากเป็นภาพของญาติหรือคนรู้จักเราคงรู้สึกแย่มากๆ ที่เอารูปมาเผยแพร่อย่างนี้




จากความจริงที่โหดร้าย พอเหงยหน้าออกจากมือถือ มองดูเจ้าเด็กน้อยทั้งสองอ่านหนังสือ เล่นของเล่นก่อนนอน ดูไม่เดือดไม่ร้อนกับสถานการณ์บ้านเมืองที่ไม่ปกติแม้แต่น้อย เลยลองถามฮั่นว่า รู้มั้ยเกิดระเบิดในเมือง ฮั่นตอบแบบมั่นใจ รู้แล้ว รู้ก่อนมามี้อีก เออ จริง เห็นนั่งดูข่าวกับพ่ออยู่ ตัวเองไม่ได้ดูทีวีแต่แน่ใจว่าคงไม่มีรูปโหดๆแบบที่แชร์กันบน Social media แน่นอน อีกอย่างนั่งดูกับพ่อด้วยกันก็หมดห่วง เพราะมีคนเซ็นเซอร์ภาพและเนื้อหาโหดๆให้


เรื่องสื่อนี้น่ากลัวมากจริงๆ มันใกล้ตัวเรามากแค่ในกำมือเรา ยิ่งสมัยนี้ คนทำสื่อนิยมทำให้ง่าย โชว์รูปและคำอธิบายสั้นๆแรงๆให้ดึงดูดคนอ่าน ขนาดผู้ใหญ่ยังหลงเชื่อ คล้อยตามเนื้อหาจากสื้อต่างๆ อันนี้คิดแล้ว แล้วถ้าเป็นเด็กๆ เห็นเข้าจะเป็นอย่างไรกัน 


นอกจากทีวี คอมพิวเตอร์ สื่อที่ยากจะหลีกเลี่ยงได้คือ มือถือ  เด็กประถมสมัยนี้มีสมาร์ทโพนและสามารถเล่นเน็ทแบบถูกๆไม่อั้นกันแล้ว กลับบ้านมาเปิดยูทูปดูเพลงเต้นเด้งหน้าเด้งหลัง เล่นเกมออนไลน์สู้รบ ยิงกัน หรือแชทไลน์กับเพื่อน กลายเป็นโลกเสมือนจริงส่วนตัวที่ไม่มีพ่อแม่อยู่ในนั้นค่ะ เด็กที่ไม่ค่อยได้รับการเลี้ยงดูจากพ่อแม่ หรือผู้ปกครองอย่างใกล้ชิด หรือเด็กที่ครอบครัวปล่อยตามใจให้ใช้จนติด เด็กกลุ่มนี้มีแนวโน้มที่จะเป็นเหยื่อของสื่อได้ง่ายที่สุด เพราะฐานในบ้านไม่แน่นพอที่จะทำให้เด็กเชื่อตามว่า สิ่งใดดีหรือไม่ดี เด็กพวกนี้เชื่อคนนอกมากกว่าคนในบ้านค่ะ (จริงๆก็ไม่ต่างอะไรกับผู้ใหญ่บางประเภทเน้อ) 


แล้วควรทำยังไงกับเรื่องนี้ จุ๊บว่าควรดูตามวัยของเด็กค่ะ สำหรับเด็กเล็กควรพาให้ห่างสื่อให้ได้มากที่สุดค่ะ ข้อแนะนำ


- สำหรับเด็กเล็ก ดีที่สุด คือ ผู้ใหญ่ควรนั่งดูทีวีหรือมือถือด้วยกัน ระหว่างดูจะได้ช่วยสอนชวนลูกคุยและคิดตาม อย่าปล่อยให้เด็กนั่งดูละครน้ำเน่าข้างๆเราเลยค่ะ ไว้ลูกหลับค่อยไปดูในยูทูปดีกว่า

- ผู้ใหญ่ต้องเป็นคนกำหนดขอบเขตเนื้อหา หรือคัดกรองข้อมูลที่เด็กเข้าไปดู ให้เหมาะสมกับวัยของเด็ก ทั้งการ์ตูน เกม คลิป หรือเวปภาพต่างๆ อันไหนไม่เหมาะไม่ต้องให้เห็นเลยค่ะ 

ข่าวโหดๆ เช่น อุบัติเหตุหรือภัยพิบัติ เราเล่าให้ลูกฟังด้วยภาษาง่ายๆ แทนให้ดูภาพ ใช้เป็นอุทาหรณ์ในเรื่องความปลอดภัยได้ค่ะ แต่อย่าใช้เป็นคำขู่นะคะอันนี้เป็นผลเสียกับเด็กค่ะ

- จำกัดการเข้าถึงสื่ออย่างชัดเจน ใช้นานเท่าไร ใช้ผ่านอุปกรณ์อะไร มือถือหรือไอแพด อย่าคิดว่าถ้าลูกไม่ได้เล่นจะงอแง ร้องแค่นี้ไม่ตายค่ะ เอาอย่างอื่นให้ลูกเล่นแทนดีกว่า

- ผู้ใหญ่ต้องคอยเช็คอุปกรณ์นำสื่อบ่อยๆเป็นประจำ ติดตั้ง security blockและจำกัดสิทธิการใช้งานในส่วนที่ไม่เหมาะกับเด็ก เด็กๆฉลาดกว่าที่เราคิดนะคะ password ควรเปลี่ยนบ่อยๆ เพราะเค้าแอบเห็นเรากดครั้งเดียวก็จำได้แล้วค่ะ

- สำหรับเด็กโต ต้องคุยตกลงกับเด็กให้ชัดเจนและเข้าใจตรงกันกติกาที่ตั้งไว้ และต้องให้เกียรติไม่ก้าวก่ายลูก ยกเว้นลูกทำผิดกติกา หรือมีสัญญาณพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมค่ะ

- ข้อนี้ ยากสุดแต่ได้ผลที่สุดค่ะ คือผู้ใหญ่ทำเป็นตัวอย่างให้ลูกดู ทำเป็นประจำ พูดจริงทำจริงค่ะ และต้องทำกันทั้งครอบครัวไปในทิศทางเดียวกัน ลูกไม่มีข้ออ้างอะไรมาขออีกค่ะ


สื่อมีประโยชน์ดีๆสำหรับเด็กก็มีเยอะค่ะ ถ้าฉลาดใช้มันก็จะช่วยพัฒนาเด็กๆของเราได้ค่ะ


มีไอเดียอะไรเพิ่มเติม แลกเปลี่ยนกันได้ค่ะ


แม่จุ๊บ


Credit รูป : thaihealth.or.th

วันอาทิตย์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2558

6 สาเหตุที่เล่นกับลูกแล้วไม่สนุก และวิธีแก้ไขแบบง่ายๆ

6 สาเหตุที่เล่นกับลูกแล้วไม่สนุก และวิธีแก้แบบง่ายๆเรื่องเล่าจากประสบการณ์ตรง



เคยมั้ยค่ะ อุตสาห์ซื้อของเล่นมีประโยชน์ หรือทำของเล่นเองให้ลูก หรือใช้ของเล่นเพื่อฝึกลูกอย่างเช่นเตรียมสอบสาธิต หรือเสริมทักษะที่บกพร่อง แต่ลูกไม่ยอมเล่น หรือเล่นไม่สนุก หรือบ้างครั้งทะเลาะกับแม่ไม่อยากเล่นจน ขว้างปาของเล่นหรือทำของเล่นเสีนหาย ทำเอาแม่อย่างเราเสียเงินไม่พอ ยังเสียใจที่ความหวังดีไม่เป็นผล พอนึกถึงแล้วก็คิดถึงประสบการณ์ fail ที่เจอมา รวบรวมสาเหตุ และกลยุทธในการเล่นให้สนุก ได้ประมาณนี้

1. ของเล่นมีสาระ หรือเล่นแล้วมีผลลัพธ์ออกมาอย่างเดียว หรือของเล่นเพื่อการศึกษา  ลูกเล่นแรกแล้วถ้าทำไม่ได้จะเครียดและไม่อยากเล่น หรืองานศิลปะ ต้องทำออกมาให้สวย ให้เหมือนในแบบ 
แก้โดย
- เปลี่ยนวิธีการเล่นฉีกแนว เช่น มีให้วิ่งหา flashcard ที่ซ่อนอยู่ในห้อง เจอแล้วให้พูดศัพท์ดังๆ หรือเพิ่มกติกาหรือรางวัลให้สนุกน่าลองเล่นให้จบ เช่น เล่นได้ตามที่กำหนดได้กินไอติม หรือใครชนะได้ใช้สีเพ้นท์หน้าวาดรูปอะไรก็ได้บนหน้าแม่ 
- เด็กบางคนไม่กล้าวาดรูป ระบายสีบอกกลัวทำไม่สวย อันนี้ ถ้ารู้ว่าเขาเป็นแบบนี้ ลองคุยกับเขาดูว่า วาดแบบที่คิดหรือเห็น ไม่มีถูกไม่ผิด 
- ให้ผลลัพธ์ในการเล่นเป็นแบบเปิด ทำอะไรก็ได้ ไม่ผิด แต่ต้องได้ตามข้อกำหนดอย่างน้อยสักหนึ่งอย่างที่สำคัญ เพิ่มกำลังใจให้เด็กเข้าถึงเป้าหมายง่ายๆค่ะ

2. เวลาที่เล่นไม่เหมาะ ลูกง่วงนอน หิว ไม่อยากเล่น งอแงไม่ให้ความร่วมมือ
แก้ง่ายๆ
- สังเกตชีวิตประจำวันลูก ลองเปลี่ยนเวลาเล่นให้ไม่ตรงกับตอนง่วง หรือหิว 
- สังเกตว่าทำไมลูกถึงงอแง เอาใจใส่และแก้ปัญหาที่ทำให้เขาปั่นป่วนก่อน พอลูกอารมณ์ดีแล้ว ชวนทำอะไรก็ทำตามหมดค่ะ

3. วิธีเล่นยากเกินไป หรือง่ายเกินไปกับวัยและความสามารถลูก ทำให้ลูกไม่สนใจของเล่น
แก้ง่ายๆ
- พ่อแม่ลองเล่นหรือตรวจสอบก่อนว่าเหมาะกับวัยลูกหรือไม่ ของเล่นบ้างอย่างยากและซับซ้อนเกินที่เด็กจะมีสมาธิจดจ่อเล่น ถ้ามันไม่ใช่สิ่งที่เขาชอบจริงๆ
- ต้องดูสไตล์เด็กค่ะ ถ้าเขาไม่กล้าลองอะไรใหม่ ต้องเล่นกับเขาที่ละเล็กละน้อย หรือพาเข้ากลุ่มที่เล่น เช่น เกมกีฬา ให้เขาเก็บข้อมูล ลองสัมผัสและเชิญชวน ออกแนว build อย่าบังคับให้เขาเล่น ถึงเวลาถ้าเขาอยากเล่นจะขอเอง
- สำหรับเกมที่ง่ายเกินไป ลูกเล่นแป๊บเดียวเบื่อ พ่อแม่สามารถเพิ่มความยากและท้าทายให้ได้ค่ะ จะทำให้เขาสนุกและสนใจเล่นต่อ ลองให้ลูกคิดเองก็ได้ว่าอยากเล่นยังไงค่ะ

4. ลูกเล่นแล้วป่วน เล่นมั่ว เล่นแล้วเกิดความเสียหาย ไม่ยอมช่วยเก็บ
แก้ง่ายๆ
- อธิบายกฏกติกาและข้อตกลงก่อนเล่นให้ชัดเจนว่า ถ้าเล่นไม่ถูกทาง หรือเล่นเสร็จไม่ดูแลรักษาจะมีผลอย่างไร ต้องให้เขารอฟังและตกลงกันให้เรียบร้อยก่อนเล่น 
- เมื่อเห็นลูกเริ่มออกนอกลู่นอกทาง ลองดึงความสนใจเขากลับมาที่ของเล่นแบบนุ่มนวล ไม่ตะโกนหรือดุด่า ถ้าเขาไมายอม คุยดีๆว่าลูกจะทำยังไงต่อ ลแงฟังเสียงลูกดู จะลดภาวะอารมณ์บูดได้ที่แม่และลูกค่ะ
- สำหรับเด็กเล็ก ถ้าเล่นแล้ว เสี่ยงเกิดอันตรายหรือทำร้ายผู้อื่นการบอกหยุดดังๆแรงๆ ไม่ทำให้เด็กหยุดนะคะ เขาจะเล่นต่อ และปั่นป่วน จนต้องเกิดศึกกันแน่นอนค่ะ. จะให้ลูกหยุดเล่นควร ใช้การเบี่ยงเบนความสนใจไปสิ่งอื่นแทน เนียนๆ พอเขาอารมณ์ดีๆ ให้สอนเขาว่าทำแบบไหนดี แบบไหนอันตรายค่ะ

5. ของเล่นที่เลือกมาให้ลูกไม่เหมาะกับการเล่นรวมกับของเล่นอื่นๆ หรือของเล่นที่เสียหายง่ายเกิน หรือของเล่นราคาแพงเกินไป เมื่อลูกเล่นเสียหาย ก็โดนดุโดนว่า หรือเล่นปนกับของเล่นเดิมก็โดนบ่น
แก้ง่ายๆ
- เลือกของเล่นที่เหมาะกับสไตล์ลูกเรา เอาที่ทนไม้ทนมือหน่อย ของถูกพลาสติกไม่ดีนี้เสี่ยงเป็นขยะสูงมากเพราะเล่นแล้วพังง่าย 
- ไม่ซื้อของเล่นที่มีมูลค่าสูงเกิน ถ้าคุณทนไม่ได้ที่ตุ๊กตาตัวครึ่งหมื่นจะถูกวาดหน้าและตัวด้วยเมจิคสีแดง ลูกยังไม่เข้าใจคุณค่าที่เป็นตัวเงินค่ะ ถ้าเขาอยากได้ของแพง ให้เขาเก็บตังซื้อ หรือมีภารกิจยากๆให้ทำ เพื่อให้เขารู้คุณค่าของของและอยากเก็บรักษามากขึ้น
- ถ้าคุณเลือกที่จะซื้อให้ลูกเล่น คุณต้องเคารพสิทธิในการเล่นของลูกค่ะ ของเล่นที่เอามาตั้งโชว์เฉยๆไม่เกิดประโยชน์ การเล่นmix กันเป็นการใช้ creativity ของลูกค่ะ ถ้าอยากให้เกิดความสงบในบ้าน ให้ทำข้อ 4 ไปก่อนเล่นค่ะ

6. พ่อแม่เล่นไม่สนุก ตั้งใจทำมาก ก็หวังมากว่าจะเล่นได้ ทำให้บางครั้งเกิดบรรยากาศกดดัน เหมือนบังคับให้ลูกเล่น พอลูกไม่เล่นก็บ่นหรือโกรธโมโหใส่ลูก
แก้ง่ายๆ
- ดูช่วงเวลาที่เราอารมณ์ดี ลูกอารมณ์ดีแล้วเล่นด้วยกัน บางครั้งพ่อแม่ฝืนตัวเอง พลังที่ออกมากับการเล่นจะดูอึดอัด ลองถามตัวคุณก่อนว่าพร้อมมั้ยนะคะ เล่นกับลูกแบบมีเป้าหมาย คุณต้องมีใจที่เข้มแข็งค่ะ
- คุณลองทดลองเล่นกับตัวเอง จะเข้าใจว่าจุดไหนยากง่าย พอลูกทำไม่ได้ในจุดที่ยาก เราจะสามารถเข้าถึงใจเข้าง่ายกว่า แบบพ่อเล่นแล้วมันยากจริงๆ เดี๋ยวช่วยกันมั้ย
- ลองให้ลูกนำเราเล่น เปิดใจดูว่า ถ้าเขาชอบ เขาจะสนุกและอยากเล่นต่อ เมื่ออารมณ์ดี ลองชวนมาเล่นมาลองของแม่บ้าง ผลัดกัน  แต่ถ้าเราบังคับ เขาจะทำค่ะ เพียงเพราะให้พ่อแม่ชอบและชื่นชม ลูกจะไม่เล่นของนั้นเลยด้วยตัวเอง แม้จะมีประโยชน์แค่ไหน เพราะเขาโดนบังคับให้ชอบค่ะ
- เปิดใจให้โอกาสลูกค่ะ วันนี้งอแงไม่เล่นไม่เป็นไร ความคั้งใจดีของคุณพ่อคุณแม่จะเป็นผลสักวันค่ะ ตั้งใจทำมากเป็นสิ่งดี คาดหวังได้ แต่อย่ามากเกินไปนะคะ เด็กๆต้องการเวลาค่ะ

แม่จุ๊บ



บทเรียนจากความสูญเสีย..จากกัน แต่ไม่จากไกล

เมื่อเห็นภาพเด็กๆร้องไห้เพราะมีสมาชิกในครอบครัว พ่อหรือแม่ หรือญาติที่สนิทต้องจากไปอย่างไม่มีวันกลับอย่างกระทันหัน เด็กๆที่โตพอที่จะเข้าใจถึงความตาย รู้ว่าคนที่เค้ารักต้องจากไปตลอดกาล ไม่พบหรือเจอกันอีก ใจเล็กๆของเขาคงแตกสลาย ไม่มีสิ่งใดบรรยายความเจ็บปวดหรือเสียใจได้เท่าน้ำตาที่หลั่งไหลลงมา ส่วนเด็กที่ยังเล็กอยู่ แม้ยังไม่เข้าใจเรื่องราวกับภาพคนในครอบครัวโศกเศร้ากัน แต่เด็กน้อยดูซึมๆ คงเพราะสัมผัสได้ถึงความเศร้าเสียใจจากคนรอบข้าง
การสูญเสียคนรักสำหรับเด็กๆ คงเป็นเสมือนฝันร้ายที่เข้ามาฝั่งเป็นความทรงจำสีดำๆเกาะติดอยู่ในใจของเด็กๆ
แต่ไม่ว่าจะยังไง เด็กๆ ก็ยังคงต้องใช้ชีวิต และเดินหน้าต่อไป

สิ่งนี้ทำให้จุ๊บได้ย้อนคิดว่า ชีวิตของเราสั้นนักจริงๆ หากเกิดขึ้นกับตัวเอง ลูกเราจะเป็นอย่างไรบ้างในวันที่ไม่มีพ่อหรือแม่อยู่เคียงข้างเค้าดั่งเดิม สิ่งใดจะทดแทนฝันร้ายในใจลูกในวันที่โศกเศร้าจากการสูญเสีย
เราคงต้องสอนทักษะชีวิตที่จำเป็นให้ลูกยืนอยู่ได้ด้วยตัวเอง เช่น ว่ายน้ำให้เป็น ทำอาหารเป็น พูดภาษาสำคัญได้ รู้จักยืดหยุ่นในชีวิต การอยู่ร่วมกับผู้อื่น พ่อเค้าคงสอนเรื่องการลงทุนและการเงิน ฟุ้งซ่านไปมากมาย

คืนนั้น ได้คุยกับฮั่นลองเชิงดู
มามี้ ถ้าเกิดมามี้กับปะป๊าไปอยู่ในที่ๆไกลมาก ไม่ได้เจอกันอีก ฮั่นจะทำยังไง
ฮั่น ก็จะไปอยู่บ้านอาม รอปะป๊ากลับมา โทรหาปะป๊าว่าจะกลับเมื่อไร
มามี้ คือไปอยู่ที่ติดต่อไม่ได้
ฮั่น ก็จะใช้เครื่องติดตามสำรวจหาไง
มามี้ เหมือนโอเมก้าไดเมนชั่น (ดินแดนที่ไปแล้วกลับมาไม่ได้ในการ์ตูน)
ฮั่น โอเมก้าไดเมนชั่นที่ขั้วโลกมันไม่มีจริง
มามี้ นั่นแหละ แบบกลับมาไม่ได้ ฮั่นจะอยู่รอดมั้ย
ฮั่น (เริ่มคิด) แล้วถ้าไฟดับ จะทำยังไง
มามี้ งั้นเดี๋ยวมามี้สอนวิธีต่อไฟให้
ฮั่น แล้วถ้าเจองูละ
มามี้ เดี๋ยวจะสอนให้ว่าทำไงจะไม่เจองู อยากรู้อะไรอีก
ฮั่น (เริ่มตาแดงๆ) โอ้ย ยากจัง คิดไม่ออก
แล้วก็เปลี่ยนเรื่องคุยไปเรื่องอื่นๆเลย

ดูเหมือนเรื่องนี้จะเป็นเรื่องยากจริงๆสำหรับเด็กหกขวบที่จะรู้ว่า เค้าควรจะต้องทำอะไรบ้างก่อนพ่อแม่จะจากไป แค่คิดว่าต้องจากกับคนที่รัก ใจเด็กน้อยฟีบเหี่ยวลง เท่าที่เด็กๆได้ยินได้รู้มา เพียงแค่ เมื่อพ่อแม่แก่ ก็จะต้องตาย ดังนั้นเป็นเรื่องที่อีกตั้งนาน และมันคงมีเวลามากกว่าพอที่เค้าจะโต และเรียนรู้สิ่งต่างๆด้วยตัวเอง

หากเราตั้งว่า เวลา คือ ตัวแปรสำคัญของโจทย์ชีวิตข้อนี้แล้วล่ะก้อ จุ๊บก็คงไม่มีปัญญาสอนลูกได้ทุกอย่าง แต่คงมีเพียงสิ่งหนึ่งที่ เราสามารถทำได้ในทุกๆขณะ สำหรับจุ๊บ มันคงเป็น "ความทรงจำที่ดีระหว่างลูกกับเรา"
เราสร้างประสบการณ์ดีๆร่วมกันกับลูก อยู่กับเค้า ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด
ใช่ว่าจะต้องเอาใจหรือบำเรอลูกให้มีความสุข ต้องเปิดใจให้ลูกผิดหวังบ้าง
ใช่ว่าจะปกป้องให้เค้าไม่ต้องเจอปัญหาใดๆ แต่เคียงข้างเค้าเมื่อปัญหาเกิด และช่วยประคับประคองด้วยรัก
ในแต่ละช่วงอายุลูกต้องการเราไม่เท่ากัน แต่จะบอกรักลูกกอดหอมทุกวัน เหมือนจะไม่มีโอกาสอีก
แม่จะสร้างให้ทุกเรื่องราวของเราเป้นสิ่งมีค่า ต่อการเรียนรู้และจดจำของลูก

ก่อนเข้านอน ดูฮั่นซึมๆ เลยถามว่าเป็นอะไร
ฮั่น (หน้าเศร้าๆ) ยังงงๆ ที่มามี้ถาม
มามี้ (เลยเล่าเหตุการณ์การจากไปของญาติสนิทให้ฟัง) มามี้ก็เลยอยากรู้ว่าก่อนถ้ามามี้จะไปสวรรค์ ฮั่นอยากรู้อะไร อยากทำอะไรเป็นก่อน มามี้จะสอนให้
ฮั่น (ยิ้มเข้าใจแล้ว) ไม่ได้ มามี้ต้องอยู่เลี้ยงลูกของฉัน จนกว่าลูกจะอายุสิบขวบ ไม่เอายี่สิบขวบ ถึงจะโอเค เข้าใจมั้ย
มามี้ (หัวเราะ) ถึงตอนนั้น มามี้ก็แก่หงอมพอดี 555
แล้วกอดกันนอนหลับไป

เด็กหนอเด็ก จะปลูกความรักในใจลูก รดน้ำให้ลูกทุกวัน ถึงจากกัน แต่พ่อแม่ไม่ได้ไปไหนไกล ก็อยู่ในใจหนูนะแหละ

credit รูป: favim.com

แม่จุ๊บ
เขียนเมื่อ 16 ส.ค. 2015

วันศุกร์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2558

5 ของขวัญวันแม่แบบ DIY ง่ายๆ ชวนเด็กน้อยลงมือทำให้คุณแม่

เรื่องนี้ คุณพ่อๆ ต้องรู้ค่ะ ใกล้วันแม่แล้ว ลองชวนเด็กๆ หาอะไรใกล้ๆตัวมาทำเป็นของขวัญทำมือให้คุณแม่กันดีกว่า ไอเดียส่วนใหญ่เคยทำกับลูก หรือลูกเคยทำให้จากที่โรงเรียนบ้าง สองอันสุดท้ายนี้ยังไม่ได้ลองทำ แต่อยากได้จากลูก เลยไปหาข้อมูลมาเพิ่มเติมค่ะ


1. Card ทำมือ
เล่นง่ายมากๆ เตรียมแค่กระดาษ กับสี และรูปของคุณแม่ กับลูก ให้ลูกๆ แต่งแต้ม วาดระบายสี เขียนคำอวยพร หรือจดหมายแสดงความรู้สึกขอบคุณคุณแม่ การ์ดทำมือจากลูกน้อยน่าภูมิใจ




ดูแบบการ์ดโหลดมาพิมพ์ฟรี ให้เด็กๆวาดหน้าคุณแม่ ถ้ากลัววาดไม่สวยก็ตัดรูปแม่มาติดได้ค่ะ ช่วยกันตกแต่งเล็กน้อยที่เวบนี้ค่ะ
http://www.somewhatsimple.com/kid-friendly-mothers-day-fathers-day-cards-free-printables/



2. ช่อดอกไม้หรือพวงมาลัยสไตล์เด็กน้อย
เอาดอกไม้ที่มีรอบบ้าน หรือหาดอกไม้ที่คุณแม่ชอบ ใบไม้สวยๆ มาจัดช่อ หรือรอยเป็นพวงง่ายๆ หรือจะทำเป็นสร้อยคอดอกไม้ ผูกโบเล็กๆ นำไปกราบและสวมให้แม่ แค่นี้หัวใจแม่ฟองโต ปราบปลื้มมากมายแล้วค่ะ



วิธีการจัดดอกไม้ง่ายๆ แบบมืออาชีพ ลองดูที่เวบนี้ค่ะ
http://brewedtogether.com/diywashi-tape-mothers-day-bouquet/



3. อาหารหรือขนมชิ้นพิเศษสำหรับคุณแม่ ลองหาขนมหรืออาหารจานโปรดคุณแม่ คุณพ่อกับคุณลูกจะลงมือทำเองตั้งแต่ต้น หรือซื้อมาแล้วช่วยกันตกแต่งให้สวยงามง่ายๆ ก็ได้ค่ะ  นำมา serve เซอร์ไพรซ์ในมื้ออาหาร หรือช่วงของว่างก็ได้ อร่อยหรือไม่อร่อยแม่ก็ปลื้ม กินแก้มปริแน่นอนค่ะ


สูตรอาหารนี้ต้องแล้วแต่บ้านทำกันเลยนะคะ

4. ประดิษฐ์ของใช้ประจำตัวคุณแม่ เช่น เพ้นท์รูปทำกระเป๋าผ้า ผ้ากันเปื้อน เสื้อยืด หรือกล่องใส่เครื่องประดับ ใช้สีเพ้นท์ผ้า หรือสียางพารา Jon Jon ช่วยกันสนับสนุนอุปกรณ์ศิลปะสำหรับเด็กของคนไทย (ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ facebook page: Jonjon) ก็ไม่เลวเลย วาดรูปหน้าคุณแม่ ตกแต่งให้สวยงาม คุณแม่ใช้ไปยิ้มไปเพราะมาจากฝีมือลูกๆทำให้ (พอดีคุณลูกชายไม่ค่อยชอบทำงานพวกนี้เลยไม่มีรูปอ่ะ)


ชอบไอเดียการทำผ้ากันเปื้อนให้คุณแม่จากเวบนี้มากค่ะ เอามาแชร์กัน
http://b-inspiredmama.com/kids-craft-hand-print-flower-apron-for/




5. บัตร Special for Mom หรือคูปอง คุณพ่อทำช่วยตัดกระดาษทำการ์ดเท่าบัตรเครดิต ให้คุณลูกตกแต่ง ช่วยกันคิดสิทธิพิเศษสำหรับคุณแม่ เช่น ไม่ต้องทำงานบ้านหนึ่งวัน กอดฟรี หรือนวดตัวฟรีโดยคุณลูก หรือจะแลกแหวนหรือเครื่องประดับฟรีจากคุณพ่อ ก็เป็นไอเดียที่คุณแม่ชอบทั้งนั้นค่ะ

 DIY Mother's Day Free Printable Download Seed Paper


อันนี้ ดูไอเดียได้จากเวบนี้ (แต่อันนี้เสียเงิน)  http://www.homemade-gifts-made-easy.com/mothers-day-coupon.html

โหลดฟรี พวกแบบพิมพ์คูปอง การ์ด และกระดาษตกแต่งน่ารักๆ สำหรับธีมของขวัญวันแม่ ต้องเข้าเวบนี้ค่ะ
www.botanicalpaperworks.com

ลองทำดูนะคะ มีไอเดียอะไรน่าสนใจ บอกเล่ากันได้ค่ะ


วันจันทร์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2558

รีวิวการเล่น Balance Board ได้อะไรมากกว่าความสนุก

รีวิวการเล่น Balance Board Seesaw

ช่วงนี้เริ่มสนใจของเล่นเสริมการเคลื่อนไหวและกล้ามเนื้อมัดใหญ่ หลังจากไปอบรมเรื่อง Sensory Integration แล้ว พบว่าคุณลูกพร่องในเรื่องของระบบประสาทการเคลื่อนไหวในส่วน Vestibular  มีผลทำให้วิ่งหกล้ม ไม่มีแรงโหนบาร์ กระโดดไม่ไกล เป็นแผลกลับบ้านทุกวัน ลองดูกับ Balance Board

วิธีเล่น 
เล่นได้ทั้งแบบของกระดานหกและกระดานสร้างความสมดุลเข้าด้วยกัน โดยใช้การทรงตัวอย่างสมดุลบังคับลูกบอลให้ไปในจุดต่าง ๆ 
หรือจะเล่นเพื่อทรงตัว balance บนบอร์ด สนุกและเสริมสร้างทักษะและประสาทรับรู้ด้านการทรงตัวค่ะ
วิธีเล่น มีหลายวิธีค่ะ

1. ใช้มือหรือเท้า(ในท่านั่งบนเก้าอี้) เพื่อเลี้ยงลูกบอลจากจุดหนึ่งไปอีกจุด เป็นการเสริมเรื่องการะประสานระหว่างสายตากับมือ หรือเท้า
2. ให้เด็กขึ้นยืนบนบอร์ด โดยมีผู้ใหญ่ช่วยเหลืออยู่ด้านข้างตลอดเวลา  ให้ถ่ายน้ำหนักไปทางซ้ายที่ ขวาที เพื่อให้รู้จังหวะในการเคลื่อนไหว และควรลงให้ได้อย่างนิ่มนวล  จากนั้น ให้ลองทรงตัวอยู่ตรงกลาง ประมาณ 5-10 วินาที หรือเพิ่มความท้าทายให้นานกว่านั้น หรือผู้ใหญ่ลองปล่อยมือ 
3. เมื่อเด็กเริ่มชำนาญ ให้ลองเรียงลูกบอลจากจุดหนึ่งไปอีกจุด เด็กเล็กควรมีผู้ใหญ่ค่อยดูแลตลอดเวลา

ทดลองให้ลูก (6 ปี) เล่น เริ่มแรกก่อนเล่น เราอธิบายวิธีเล่น และเป้าหมายที่อยากให้เขาทำ 

สิ่งที่ควรทำคือ เราควรลองเล่นก่อนค่ะ จะได้รู้ว่ามันเป็นยังไง แล้วจะได้บอกให้ลูกทำตามได้ง่ายขึ้น อ้อ ควรหาผ้ามาลองถ้าพื้นเป็นพื้นไม้ หรือกระเบื้องลื่นๆนะคะ กระดานจะได้ไม่ขยับ ถ้าเป็นพรม โอเคค่ะ

ตอนที่ขึ้นไปยืน ต้องจับมือให้เขาสามารถยืนได้อย่างมั่นคงก่อน 

Balance Board ประเภทต่างๆ
กระดานหอยทากฝึกความสมดุล (Snail Maze Balancing Board)
อันนี้จะท้าทายมากขึ้น สามารถเล่นได้ทั้งใช้มือและเท้าเช่นกัน สนุกไปอีกแบบหนึ่ง



การฝึกหัดควรทำเป็นประจำ เล่นให้สนุก อย่าบังคับเด็กๆค่ะ ลองวันละเล็กละน้อย เพิ่มทักษะและฝึกความแข็งแรงของกล้ามเนื้อไปในตัวค่ะ


อุปกรณ์
Balance Board - Seesaw กระดานหกมหัศจรรย์ เพื่อเสริมสร้าง sensory ด้านการทรงตัวและเคลื่อนไหว 
เหมาะสำหรับเด็กอายุตั้งแต่ 4 ปีขึ้นไป
ขนาด: ยาว 56 cm กว้าง 19 cm สูง 13.5 cm
รับน้ำหนักได้สูงสุด 80 kg

9 ไอเดียเจ๋งๆ ชวนเล่นกับลูก ห่างไกลทีวีและ smart phone

9 ไอเดียเจ๋งๆ ชวนเล่นกับลูก ห่างไกลทีวีและ smart phone

หลายบ้านที่เจ้าตัวเล็กชอบซุกซน อยู่ไม่นิ่ง จนคุณพ่อคุณแม่ก็อดไม่ได้ที่จะเปิดทีวี หรือการ์ตูนให้ตัวแสบดูจะได้อยู่นิ่งๆบ้าง ไม่ได้การณ์ค่ะ รีบหาวิธีที่ชวนลูกสนใจและเล่นอย่างอื่นแทนดีกว่า แชร์เคล็ดลับที่แปลมาจาก aboutparenting.com  กับตัวอย่างจากประสบการณ์ตรงที่เคยเล่นกับลูกแล้ว work สุดๆค่ะ

1. พาเล่นนอกบ้าน
มุขออกไปเล่นนอกบ้านกัน ได้ผลทุกทีไป ออกไปเดินดูในสวน ดูสัตว์แมลงดูต้นไม้ดูปลา  ได้เรียนรู้ระหว่างทาง ทุกอย่างเลยค่ะ สามารถตั้งคำถามในสิ่งที่เห็น ลองดมดอกไม้ จับกิ่งไม้ สัมผัสพื้นผิวแปลกๆ ลองชวนลูกเดินช้า เดินเร็ว กระโดด ลูกได้รับอากาศดีๆนอกบ้าน 

ที่บ้านชอบพาลูกเข้าไปดูแมลงหรือปลาในสวนหน้าบ้าน เล่นกับสมุนน้องหมา ไปเล่นที่โรงเรียนพี่ชาย หรือไม่ก็ชวนกันไปตลาด หรือเดินไป 7-11 ง่ายๆ เดินสนุกๆ เปิดประสบการณ์ใหม่ๆให้ลูก แถมได้ออกกำลังกายไปในตัว 





2. ใช้เสียงเพลง
ไม่เคยมีครั้งใดที่เด็กๆจะปฏิเสธเสียงเพลง เพลงสนุกๆ ชวนให้เด็กๆลุกขึ้นมาขยับ เต้น และร้องตามไปอย่างสนุกสนาน โดยเฉพาะเพลงที่เป็นเสียงเด็ก หรือผู้หญิงจะยิ่งเวิร์คค่ะ ชวนเด็กๆมาทำท่าตามจังหวะ ตบมือ ย่ำเท้า นำทำรับรองคุณลูกทำตามแน่นอนค่ะ 

ส่วนตัวชอบเอาเพลงมาดัดแปลงแล้วเอาชื่อลูกมาอยู่ในเนื้อเพลง ทำเนื้อเพลงขำๆ เช่น ตดเหม็น อะไรอย่างนี้ ร้องกันไปทำท่าตลกๆ ขำกันไปทั้งแม่ทั้งลูก ถ้าหมดมุข ก็จะใช้เพลงที่รวบรวมมาจากอินเตอร์เน็ทบ้าง เพลงจากโรงเรียนพี่ชายบ้าง หรือแม้กระทั่งเอาบทกลอนมาท่อง มาร้องเล่นกัน หรือจะเปิดเวทีคอนเสริต์ให้ศิลปินน้อยโชว์ลูกคอให้คุณพ่อคุณแม่ฟังเป็น commentator ก็สนุกไปอีกแบบค่ะ




3.  เล่นบทบาทสมมติ Pretend play
เด็กๆโปรดปรานการเล่นบทบาทสมมติ ยิ่งมีพ่อแม่มาร่วมเล่นด้วยนี้ยิ่งมันส์ ลองเอาหมอนบนเตียงมา สร้างเป็นบ้าน เล่นพ่อแม่ลูก ให้ลูกเป็นพ่อ พ่อเป็นลูก สลับกัน เล่นสมมติว่า เป็นลูกสัตว์ หรือ กำลังท่องป่าลึกลับ หรือปั่นจักรยาน 

ที่บ้านจะชอบเล่นกันในห้องนอนนะแหล่ะ เป็นช่วงก่อนนอนที่พอจะมีเวลาให้ สามารถเล่นอันนี้ก่อนแล้วนำเข้านิทานที่จะเล่า ชวนเล่นสนุกเบาๆก่อนนอน รับรองสนุก เสริมจินตนาการ เล่นทีไรขำกันทั้งแม่ทั้งลูก ถ้าช่วงเสาร์อาทิตย์ ก็ค่อยเล่นประกอบของเล่นหรืออุปกรณ์เสริมอื่นๆ เช่น เอาผ้ามาแต่งตัว อย่าถามว่าเป็นตัวอะไร แม่มันมึนมาก 





4. ปั้นแป้งโดว์
เป็นของเล่นติดบ้านชิ้นโปรดของเจ้าลิงน้อย พอเริ่มหมดมุข ชวนปั้นแป้งโดว์ คุณชายก็ตาโตอยากเล่นทันที เด็กๆได้ใช้มือปั้นๆ ทุบๆ ม้วนๆ บีบนวดแป้ง ออกกำลังกายกล้ามเนื้อมัดเล็ก จะเล่นรวมกับของเล่นอื่น เช่น เอารถมาไถจะเห็นรอยยางรถ หรือปั้มรอยเท้าไดโนเสาร์ เด็กๆสนุกที่ได้สร้างลวดลายแปลกๆค่ะ  นอกจากปั้นเป็นรูปอะไรตามใจแล้ว 

ที่บ้านชอบทำเป็นทางวิบาก ให้เอาลูกบอลกลมๆเบาไปตามทางจนถึงเส้นชัย สนุกและเปื้อนน้ำลายกันทั่วหน้า หรือสำหรับเจ้าตัวเล็ก ง่ายๆเลย เอาของเล่นที่ชอบไปห่อด้วยแป้งโตว์ ให้เด็กน้อยตั้งใจแกะ แคะ จนเจอของรักของหวง แค่นี้ ดึงเวลาห่างไกลจากทีวีได้นานเลยค่ะ





5. ชวนประดิษฐ์ของเล่นทำเอง DIY toy
ลูกชายคนโตชอบมากที่จะคิดสร้างโน้น ประดิษฐ์นี้ เพราะได้ออกแบบในสิ่งที่อยากให้เป็น และเด็กจะภูมิใจมากกับผลงานเมื่อเสร็จ ลองดูนะคะ พ่อแม่ชวนลูกคิดประดิษฐ์ของที่ลูกอยากเล่นหรือชอบเล่น ช่วยกันวางแผนว่าจะทำยังไง ใช้ของอะไรทำ และช่วยกันทำให้เสร็จ ถ้าเด็กเล็กก็ให้ช่วยเล็กน้อย หรือเลือกงานง่ายๆให้ทำ พ่อแม่อย่าบ่นว่า ลูกไม่ช่วยทำนะคะ เพราะเขามีสมาธิจดจ่อยังน้อยอยู่

ที่ชอบทำมากคือสร้างเมือง ถนนเพื่อเล่นกับรถสะสมของลูก และที่ลูกชอบrequest ให้ทำมากที่สุดคือ ชุดต้นตระกูลซุปเปอร์ฮีโร่ทั้งหลาย แม่มันไม่รู้จักสักเรื่อง เลยให้คุณลูกช่วยหา ช่วยเลือกแบบ คุณลูกหาอุปกรณ์มาให้ทำ แม่ลงมือทำเป็นหลัก ให้คุณลูกมาช่วยบ้างในบางขั้นตอน ทำเสร็จแฮปปี้มาก ใส่ตอนฮาโลวีน มีความสุข ประหยัดตังค์



6.  ทำศิลปะศิลเปอะนอกบ้าน
ที่สวนดาดฟ้าจะมีช็อคยักษ์ประจำอยู่ ให้เด็กๆได้สร้างสรรค์จินตนาการ ไม่จำกัดแค่แผ่นกระดาษสี่เหลี่ยม แต่วาดได้บนพื้นกว้างๆ เติมแต่งรูปแบบเต็มอิ่ม วาดเสร็จเล่นเกมต่อได้ วาดผิดวาดใหม่ได้ เลอะเทอะก็เอาน้ำล้าง ยิ่งคุณพ่อยิ่งคุณแม่วาดรูปเก่ง ก็ชวนกันวาดเป็นเรื่องราว แต่งนิทานภาคพิสดารไปได้เลย ศิลปะต่อด้วยเกมสนุกๆ เป็นอะไรที่ใช่จริงๆ 




7.    เล่นเกมที่ต้องใช้กล้ามเนื้อมัดเล็ก ใช้มือ
เด็กๆชอบเล่นเกมที่ท้าทายโดยใช้กล้ามเนื้อมัดเล็ก กล้ามเนื้อมือ คุณพ่อคุณแม่สามารถคิดการเล่นจากการทำงานบ้านให้เป็นเกมได้ ที่บ้านจะชอบให้ช่วยงานบ้าน แข่งกันบิดผ้า หนีบผ้ากับราวตากผ้า 

การเล่นด้วยกล้ามเนื้อมัดเล็กที่ลิงที่บ้านโปรดปรานกันหนักหนา คือ การต่อบล็อคและตัวต่อทุกชิ้น ต้องตั้งโจทย์ให้ยากกว่าที่ทำได้อยู่นิดหนึ่งเพื่อดึงดูดให้เด็กๆอยากเล่นค่ะ คุณพ่อคุณแม่ควรอยู่ใกล้คอยช่วยเหลือและให้กำลังใจถ้าลูกทำไม่ได้ค่ะ ทำเสร็จชื่นชมให้เขาภูมิใจ




8. เล่นน้ำ 
เด็กกับน้ำนี้เป็นของคู่กันอย่างน้ำคู่กับปลา รับรองว่ามุขนี้ชวนกี่ครั้งก็ได้ผลอย่างแน่นอน แค่ได้จุ่ม ได้แตะเล็กน้อยก็มีความสุข ยิ่งวันที่อากาศร้อนๆ ก็ยิ่งชวนเล่นได้ง่ายขึ้น 

ทุกครั้งที่ลิงน้อยขอเล่นเกม จะชวนเด็กๆขึ้นไปทำงานบ้านที่เกี่ยวกับน้ำค่ะ เช่น รดน้ำต้นไม้ ล้างรถ ซักผ้า ให้เด็กๆมีส่วนร่วมในงานที่มากน้อยตามวัยของลูก ทำเสร็จบ้างไม่เสร็จบ้างไม่เป็นไร แล้วปล่อยให้เล่นน้ำสักนิดสักหน่อย สนุกเย็นๆ ได้ใช้งานลูก




9. กิจกรรมทำร่วมกันทั้งครอบครัว 
คุณพ่อคุณแม่ควรหาโอกาสทำกิจกรรมร่วมกันทั้งครอบครัวค่ะ มีคุณปู่คุณย่า หรือญาติๆมาร่วมด้วยก็ดี เช่น ไปปิคนิค ทำอาหารร่วมกัน หรือไปเที่ยวแบบรวมญาติ หรืองานรวมญาติตามเทศกาลต่างๆ เป็นกิจกรรมสร้างสัมพันธ์ เปิดโอกาสให้เด็กๆได้พบปะและปฏิสัมพันธ์กับครอบครัวและญาติ ได้เรียนรู้เรื่องราวหรือความรู้ใหม่ๆจากรุ่นสู่รุ่น เช่น สูตรทอดไข่เจียวของคุณตา สร้างความทรงจำที่ดีเกี่ยวกับครอบครัวค่ะ

อย่าเพียงเจอกับญาติและทักทาย จากนั้น นั่งดูทีวีข้างๆกันนะคะ อันนี้ไม่ใช่แล้ว ๆ ลองหางานบ้านที่เด็กต้องช่วยญาติๆทำ เช่น ช่วยไปรดน้ำและดูแลต้นไม้กับคุณย่า เลี้ยงปลากับคุณปู่  ที่บ้านชอบไปเที่ยวกันค่ะ ทุกทริปเด็กๆก็จะได้เรียนรู้เรื่องราวสนุกๆที่อากงอาม่าเล่าให้ฟัง ได้ความรู้ใหม่ๆ เด็กๆก็ชวนอากงอาม่า เล่นเป็นเด็ก เป่ายิ้งฉุบ สนุกสนาน สานสัมพันธ์ด้วยค่ะ




ไม่ยากใช่มั้ยค่ะ ลองดูนะคะ
แม่จุ๊บ