วันศุกร์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2558

การเดินทางสู่ดินแดงแห่งความรู้สึกของตัวตน กับ Gil Alon

เมื่อชีวิตดำเนินไปตามกิจวัตรประจำวันตามปกติ เราได้ใช้ชีวิตตามหน้าที่และบทบาทที่ต้องเป็นโดยอัตโนมัติ เช่น จัดการลูกให้ตื่นไปโรงเรียน ทำธุระให้พ่อแม่ นำเสนองานเจ้านาย ตรวจเช็คงานลูกน้อง เอาลูกเข้านอน   ในแต่ละช่วงวัน เราใช้สมองคิด วางแผน ตัดสินใจ และลงมือทำสิ่งต่างๆตามหน้าที่รับผิดชอบ ด้วยเหตุและผล ตามสิ่งที่ควรจะเป็น ตามค่านิยม วัฒนธรรม และหลายครั้งทำตามความคิดและการตัดสินของผู้อื่นที่ไม่ใช่ตัวเราเอง จนบางครั้งอดคิดไม่ได้ว่า ตัวตนที่แท้จริงของเรามันหายไปไหน

ได้ข่าว creativity workshop - Into the moment: journey to innermost intuition   ของ Gil Alon ตั้งแต่ปลายปี2014 ตั้งใจว่าจะสมัครไป แต่พอเห็นว่าเรียนศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ ซึ่งเป็นช่วงวันเด็ก และเป็นเวลาของครอบครัว จึงล้มเลิกความตั้งใจไป คงเป็นโชคดีของตัวเองที่ได้เจอกับพี่หลินในวันก่อนเริ่มเรียนเพียงหนึ่งวัน พี่หลินช่วยขอแฟนให้ แถมช่วยเรื่องลงทะเบียน สุดท้ายก็ได้สมัครเรียนเกือบคนสุดท้ายของคลาส (คนสุดท้ายเป็นคนwalk in มาวันเรียน)

มาเข้าเรียนก็ยังงงๆ สับสนอยู่เล็กน้อย กลับไปอ่านรายละเอียดคลาสที่ครูนาเขียนไปสองสามรอบก็ยังไม่ค่อยเคลียร์ ไม่เป็นไร ไปเรียนก็คงรู้เอง เพื่อนร่วมคลาสดูหลากหลายมาก ตั้งแต่เด็กน้อยวัย 18 หนุ่มๆสาวๆวัยทำงาน ผู้บริหารระดับสูง ครูบาอาจารย์ พ่อแม่ และอาม่าวัย 73  แอบคิดในใจถ้าเป็นคนสอนจะทำไงให้ทุกคนเรียนและเข้าใจไปได้พร้อมกันเนี่ย 

ช่วงเวลาอบรมทั้งสามวัน ครูGil ได้นำพาพวกเราซึ่งต่างเพศ ต่างวัย ต่างสายงาน กลับมาอยู่ในจุดที่ต้องร้องในใจดังๆว่า เฮ้อ ชั้นเคยรู้สึกแบบนี้มาก่อน หรือไม่ก็ เฮ้อ ทำไมหัวมันว่างอย่างนั้น ไม่มีบทสรุปในแต่ละกิจกรรมที่ชี้นำสิ่งที่ครูอยากจะสื่อออกมา สิ่งที่ถูกถ่ายทอดใน workshopสู่นักเรียน คือ เพื่อให้แต่ละคนได้ experience กับความรู้สึก ลงลึกไปสู่ purityหรือ pure surface หรือจิตบริสุทธิ์ของตัวเรา ที่ครูพยายามให้เราได้สัมผัสว่ามันยังคงอยู่ในตัวเรา มิได้สูญหายไปไหน เพียงแต่มันคงถูกกดทับด้วยกล่องต่างๆในชีวิตเรา กล่องของสังคม กล่องของหน้าที่ กล่องของเพศ ภาษา และหลายสิ่งอย่างที่ปิดกั้นให้เราไม่ได้แสดงความรู้สึกนึกคิดจากก้นบึงของหัวใจ ไม่สามารถแสดงความ creativity และศักยภาพของเรา ได้อย่างไม่มีขีดจำกัด 

ครูGil บอกว่า หลายครั้งที่เรานึกไม่ออกว่าจะทำยังไง กลัวไม่กล้าทำ กลัวทำไม่ได้ ครูว่า มันเป็นเพียง opinion เท่านั้น ไม่ใช่ความรู้สึกจริงๆ เมื่อถามต่อว่าควรทำไงล่ะ ครูตอบด้วยคำสั้นๆง่ายว่า "just do it"  แอบคิดว่า พูดง่ายทำยากนะเนี่ย. แต่ช่วงสามวันในคลาส เรากลับได้ลงมือทำในสิ่งที่ยาก สิ่งที่น่าอาย สิ่งที่น่าตลก หรือสิ่งที่น่ากลัว 

เราสัมผัสประสบการณ์ทางความรู้สึกที่หลากหลายในทุกกิจกรรม ตั้งแต่วันแรก ครูGil ทำให้เราเปิดใจและรู้สึกถึงพื้นที่ปลอดภัยในคลาส ด้วยการกอดเพื่อนร่วมชั้นที่ละคน สำหรับตัวเอง ตอนแรกก็รู้สึกแปลกๆที่ต้องกอดคนที่ยังไม่เคยรู้จักกัน ครูกิลเกริ่นแต่แรกว่า ตอนแรกจะเขินๆแปลกๆ แต่เดียวก็จะชินไปเอง จริงด้วยนะ นอกจากได้ความอบอุ่นจากอ้อมกอดแล้ว ยังได้สัมผัสถึงความอุ่น ความปลอดภัย มันทำให้นึกถึงกอดอุ่นของแม่ รักของแม่ ปิดท้ายกิจกรรมกอดด้วยการทำ group hug เติมพลังก่อนเรียนอีกสองวันครึ่งที่เหลือ

ต้องขอยอมรับว่าเวลาทำกิจกรรมแรก เราแอบเผลอใช้ความคิด เหตุผล หาที่มา ที่ไปของกิจกรรม คิดว่า ทำแล้วได้อะไร เค้าจะต้องการสื่ออะไรกัน ฟุ้งซ่านมากมาย แต่พอเริ่มๆทำกิจกรรม หลายครั้งที่อยู่ๆหัวก็โล่งว่างไร้ความคิดฟุ้งๆไปโดยไม่มีเหตุผล ได้ลองถามครูในช่วงแชร์ประสบการณ์หลังกิจกรรมว่าวัตถุประสงค์คือเพื่ออะไร ครูบอกว่า ประสบการณ์ที่ได้เจอในกิจกรรมของแต่ละคนอาจจะไม่เหมือนกัน และนั้นคือคำตอบของแต่ละคน ลองลดการใช้ความคิด ซึ่งส่วนใหญ่จะมาพร้อมกล่องต่างๆ  ครูไม่ได้บอกให้ทำอะไรชัดเจน เพราะไม่ต้องการชี้นำให้ทำตาม ซึ่งไม่ต่างอะไรกับเอากล่องอีกกล่องมาใส่หัวเรา แต่กลับทำให้เราอยากลองลดความคิดลง ลองได้เดินทางเพื่อค้นหาความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเองดู เจอบ้างไม่เจอบ้าง กิจกรรมถัดๆไปจริงเริ่มสนุกและเข้มข้นไปเรื่อยๆ อยากเล่าว่าทำอะไรไปบ้างจัง แต่คิดว่าจะกลายเป็นการ spoil ใครสนใจจะเล่าให้ส่วนตัวละกัน

วันสุดท้าย ครูพาพวกเราเข้าสู่อุโมงค์แห่งการกำเนิดใหม่ โดยให้ลองคิดว่าถ้าเกิดใหม่ได้ อยากจะเปลี่ยนแปลงอะไร คิดอยู่นาน สุดท้ายตกผลึกว่า ไม่อยากเปลี่ยนอะไรทั้งนั้น มีความสุขกับปัจจุบันมาก รู้สึกขอบคุณชีวิตที่ผ่านมา มันมีค่ามาก ได้ระลึกว่าครอบครัวและคนรอบข้างเราได้ช่วยเหลือ ค้ำชู และดูแลชีวิตเรามาตลอดเวลา หลายครั้งที่หลงลืมนึกถึงแต่เรื่องของครอบครัว เรื่องคนอื่นๆ ว่าเราทำเพื่อเค้า เลือกและตัดสินใจเพื่อครอบครัว แต่จริงๆลึกๆแล้ว เราทำเพื่อตัวเราเองเป็นส่วนใหญ่ ระหว่างการเดินทางผ่านอุโมงเพื่อกำเนิดใหม่ โดยการคลานแบบมองอะไรไม่เห็น เราได้รับสัมผัสแห่งความปรารถนาดี ได้มีคนฉุดให้คลานถูกทาง และยังได้รับพรดีๆตลอดทาง รู้สึกตื้นตันและรู้สึกผิดที่คิดเห็นแก่ตัวมาตลอด ตั้งใจว่ากลับไปจะหันกลับไปใส่ใจคนรอบข้างให้มากขึ้น 

ก่อนปิดคลาส ครูกิลชวนพวกเราแบ่งบันความรู้สึกและประสบการณ์ตลอดสามวัน หลายคนแชร์ความคิดเห็นและมุมมองต่อกิจกรรมที่น่าสนใจ หลายครั้งที่เราคิดไม่ถึง เป็นมุมมองที่เราหลงลืมไป ฟังแล้วคล้อยตามบ้างคิดต่างบ้าง หลายอันก็เมื่อย้อนคิด เออ มันจริง เราก็เกิดความรู้สึกคล้ายๆกัน แต่มันบรรยายออกมาไม่ออก การสะท้อนความคิดเห็นในวงช่วยเชื่อมโยงปะติดปะต่อเรื่องราวตลอด workshop เท่าที่เราจะพอจับได้ รู้สึกว่าใจมันเปิดกว้างขึ้น ครูกิลบอกว่า ที่เราคิดเหมือนกับเพื่อน รู้สึกสั่นไหวในเรื่องที่เพื่อนแชร์ นั่นก็เพราะเราทุกคน จริงแล้ว เหมือนกัน 

ได้กลับมาคิดต่อ ที่เราคิดอยากทำโน้นนี้เหมือนคนนั้นคนนี้ อิจฉาเค้าว่าทำไมเราทำไม่ได้ นั้นคงเป็นแค่ opinion คงต้องลงมือทำจริงซะแล้ว ยังจำคำ อาม่าวัย 73 ได้เลย อาม่าบอกว่า สามวันเร็วมาก ยังสนุกอยู่เลย ถ้าอาม่าทำได้ เราก็ต้องผ่านไปได้เน้อ อย่างหนึ่งที่ตั้งใจว่าต้องทำให้ได้ก็คือ จะเข้า workshop อย่างงี้ตอนวัยเจ็ดสิบ อยากเป็น เจ็ดสิบยังแจ๋ว 555

Workshop ของครูกิลมีแบบ 7 วันด้วย อยากแนะนำให้ทุกคนที่มีอยากพัฒนาตนเองจากด้านใน ให้ไปเรียนกันให้ได้นะคะ คลาสจะเล็ก และลงลึกในแต่ละคน เชื่อว่าต้องเข้มข้นแน่ๆ เพราะแค่สามวันก็ยังได้อะไรมามากมายกลับบ้านแบบไม่ต้อง lecture หรือไม่ต้องทบทวนสิ่งที่เรียนไป เพราะทุกอย่างที่ได้ในคลาสได้แปรเปลี่ยนเป็นประสบการณ์ที่สวยงาม และน่าจดจำที่เราได้กับมารู้ซึ้งและสัมผัสความงดงามของชีวิตค่ะ

Group Hug



ขอพลังจากครู big hug

เพื่อนกันตลอดไป

ใครสนใจกิจกรรมดีๆ สามารถติดตามได้จาก โรงเรียนพ่อแม่ลูก และเครือข่ายนะคะ