วันพุธที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ใช้เวลากับลูกให้คุ้มค่าทุกนาที เพราะไม่รู้ว่าประเทศจะแตกเมื่อไร

ทุกเช้าที่ตื่นนอน ได้เห็นลิงตัวใหญ่นอนคุดคู้ ก้นชี้ฟ้าอยู่มุมหนึ่งของเบาะ อีกฟากลิงตัวเล็กก็นอนอ้าซ่า โชว์พุงขาวอวบ จนอดใจเข้าไปฟัดไม่ได้ ถึงจะนอนไม่ค่อยสบายเพราะโดนสองลิงทั้งเบียดบ้าง ร้องกินนมบ้าง หรือต้องคอยตื่นมาดูว่าแต่ละคนกลิ้งทับกันมั้ย ตกเบาะมั้ย กิจวัตรประจำวันก็ดำเนินไปเหมือนทุกวัน ปลุกฮั่นไปอาบน้ำแต่งตัว มองนาฬิกา สายแล้ว ต้องรีบปลุกฮั่น เด็กอะไรก็ไม่รู้ขี้เซามาก ทั้งหอมทั้งจักกะจี้ เขย่า ตะโกน ขู่บังคับ ทุกอย่างกว่าจะตื่นขึ้นมาได้  ส่วนธันธัน ถ้าตื่นเช้า ก็จะพาขึ้นไปรดน้ำต้นไม้ที่ดาดฟ้า แล้วมาอาบน้ำพร้อมกับพี่ ก่อนจะส่งต่อให้อาม่าช่วยดูแล ก่อนจะออกไปส่งฮั่น และไปทำงาน  ชีวิตดำเนินไปอย่างเรียบง่ายทุกวันๆ ดูจะลำบาก แต่มันช่างเป็นเช้าที่แม่ตัวเล็กๆ อย่างเราสุดจะแฮปปี้ แสนเต็มใจที่ทำก่อนจะเริ่มกิจวัตรส่วนตัวอื่นๆ

ความสุขมันอยู่รอบตัวเราจริงๆ หาง่ายมาก วันก่อนเป็นวันเกิดของเรา ได้รับคำอวยพรมากมายจากคุณพ่อคุณแม่ เพื่อนเก่า เพื่อนแก่ และมิตรออนไลน์ ฮั่นเคยบอกว่า จะไปหาดอกไม้มาให้มามี้เป็นของขวัญ สุดท้ายลงเอยที่โดนัทรูปหัวใจ ราดซอสสตรอเบอรี่ เห็นแล้วดีใจมากไม่อยากกินเลย ส่วนพี่โหยวซื้อเตาอบมาให้หลังจากบ่นว่าอยากได้มานาน ก็เลยได้สมใจ แสนแฮปปี้มีความสุข แม้จะไม่มีปาร์ตี้ฉลอง ไม่มีเทียนหรือเพลง Happy Birthday (พี่โหยวก็ถามว่าต้องมั้ย แบบว่าเตรียมมาเหมือนกัน เราบอกไม่ต้องแหล่ะ)  ยิ่งโตก็ยิ่งไม่ค่อยต้องการอะไรมากมาย เพราะแค่ได้ใช้ชีวิตกับทุกคนในครอบครัว ทุกคนมีความสุข ก็พอใจและสุขใจมากแล้ว

ยิ่งช่วงนี้ เพิ่งมีข่าวการสูญเสียของคุณพ่อคุณแม่ที่ลูกทั้งสองต้องจากไปเพราะระเบิดของใครไม่รู้ในที่ชุมนุม คิดว่าไม่เพียงแค่เราเท่านั้น แต่หัวอกคนเป็นพ่อเป็นแม่ทุกคนคงจะรู้สึกเลวร้ายมากกับเหตุการณ์นี้  เป็นความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ที่ยากจะเยียวยา ปกติจะชอบคิดว่าถ้าเกิดเป็นตัวเราในเหตุการณ์โน้นนั้นนี้ ฉันจะทำยังไงดี สำหรับเคสนี้ ขอไม่คิด เพราะคงทำใจไม่ได้ ที่จะไม่ได้เห็นลิงทั้งสองมานัวเนีย วุ่นวาย งอแงอยู่ใกล้ๆ หรือตื่นนอนมาแล้วไม่ได้กอดหรือหอม ฟัดลูกอย่างเมามัน จะมีอะไรมาแทนสิ่งเหล่านี้ได้ แม้มีเงินทองล้นฟ้าก็คงไม่เทียบเท่า  ขอแสดงความเสียใจกับคุณพ่อคุณแม่และครอบครัวของน้องทั้งสองด้วยความจริงใจ

เหตุการณ์โหดร้ายที่มีกับเด็กที่เพิ่มมากขึ้นในทุกวันนี้  มันทำให้เราอยากจะใช้ช่วงเวลาที่อยู่กับลูกในช่วงวัยเด็กอย่างมีคุณค่าและมีคุณภาพทุกนาที เพราะไม่รู้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น ดีร้ายยังไง ประเทศนี้ปลอดภัยพอมั้ยสำหรับเด็กๆ ไม่มีใครรับประกันได้เต็มปาก ครั้นจะย้ายประเทศหนี เหมือนที่ฮั่นชอบบอกว่าจะไปอยู่ประเทศอังกฤษ เพราะว่าที่นั้นเย็น ไม่มียุง และไม่มีซอมบี้ (ฮั่นเข้าใจว่า ซอมบี้มีแต่ที่อเมริกา จากเกมที่พ่อเล่น) ก็คงไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้น

หรือจะย้ายไปอยู่จังหวัดอื่น กรุงเทพมัน shutdown ไปแล้ว เป็นเมืองที่มีคดีและปัญหายาเสพติด แถมเคสทำร้ายเด็ก ลักพาตัวเด็กเยอะเหลือกัน  ก็คงไม่พ้นไปเจอการเมืองท้องถิ่น หมู่บ้านนี้สีนี้ ตำบลนี้ของส.ส.คนนั้น ภาคนี้สีนี้ ภาคนั้นสีโน้น ความแตกแยกขัดแย้งกับทางความคิด ความชอบของผู้ใหญ่ ของประเทศ มันส่งผลกระทบต่อภาคครัวเรือน และเยาวชนอย่างแทรกซึม ฝั่งราก อย่างไม่รู้ตัว  ลองคิดสภาพว่า บ้านไหนที่เป็นเสื้อแดง พ่อเปิดช่องเสื้อแดง ก็ด่าเสื้อเหลืองและ the rest กันไปอย่างมากมาย ก็ไม่ต่างอะไรกับบ้านไหนที่ดู Blue sky  สื่อเองกลายเป็นเครื่องมือในการสร้างความเกลียดชังและความแตกแยกในชาติ อย่างที่ไม่มีใครมาควบคุมดูแลได้  โดยเฉพาะสื่อออนไลน์ social media และอีกมากมาย ถ้าคนรับสื่อ เสพสื่ออย่างไม่มีวิจารณญาณ ก็มีโอกาสตกเป็นเหยื่ออย่างไม่รู้ตัวของบรรดาแกนนำ หรือผู้อยู่เบื้องหลังจากสร้างเหตุการณ์ทางการเมืองของไทยในปัจจุบันนี้

สงครามเย็นๆ แต่ไม่ชิล ในประเทศมาอยู่ที่ปลายนิ้วมือ ที่ถือมือถืออ่าน FB หรือ Twister แล้ว

ย้อนกลับไปดูลูกหลานของเรา
ไม่รู้เด็กๆจะเข้าใจมั้ยว่า ทำไมตอนนี้ถึงฮิตใส่เสื้อ ใส่ที่คาดผ้าลายธงชาติ
เด็กๆจะเข้าใจมั้ยว่าทำไมที่สอนให้กินข้าวให้หมด ต้องสงสารชาวนา แต่ชาวนาขายข้าวกับไม่มีเงินไม่มีกิน
เด็กๆที่อยากเป็นตำรวจอยากเป็นทหารดูแลประชาชน แต่ทำไมประชาชนไม่ได้รับความปลอดภัยหรือได้รับการดูแลจากพวกนั้นเลย
เด็กๆจะรู้มั้ยว่าที่ชุมนุม ไม่ใช่ที่ช็อปปิ้ง ที่กินข้าว หรือฟังเพลง และมันก็ไม่ปลอดภัยอีกต่อไป
เด็กๆ จะรู้มั้ยว่า ตัวเองกำลังจะมีหนี้ทั้งที่ตัวเองไม่ได้ก่อ เพราะประเทศกำลังจะล้มละลาย
ถึงเด็กๆจะไม่รู้ แต่หวังว่าผู้ใหญ่ต้องเข้าใจ และต้องทำให้สภาพในปัจจุบันนี้มันดีขึ้น อย่างแรกเลยค่ะ  จะไม่มีเด็กต้องตกเป็นเหยื่อของความขัดแย้งของผู้ใหญ่

วันนี้มามี้ใส่เสื้อตัวนี้ “Please Respect My Future” จริงๆมันสำหรับเด็กๆ ใส่ แต่รู้ว่าเฮียฮั่นเลือกมากคงไม่ใส่แน่นอน มามี้เลยซื้อมาใส่เองละกัน มันเป็นคำที่ช่างสะท้อนสภาพสังคมในตอนนี้จริงๆ  แบบผู้ใหญ่ทำอะไรกัน ช่วยคิดกันด้วยว่าอนาคตฉันจะเป็นยังไง จะมีประเทศให้อยู่มั้ย


ทำงานเสร็จวันนี้ จะรีบกลับบ้านไป ขอกอดรัดฟัดเหวี่ยงลูกไม่สนใจใคร มามี้สัญญาว่าจะทำทุกวันของเราให้มีความสุข สนุกสนาน อย่างมีคุณภาพ ทำทุกวันให้เป็นเหมือนวันสุดท้ายที่เราจะได้อยู่ด้วยกัน



เกิดสงครามพันครั้ง 
เด็กก็ยังสวยงาม
เป็นเพียงแค่สงคราม 
ความเดียงสาเท่าเดิม

วันพุธที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ฮัมเพลงเก่า แต่ความหมายดี ให้ลูกฟัง

บ่ายวันหนึ่ง ฮั่นตะโกนร้องเพลงออกมาว่า "นัดสำคัญ นัดสำคัญ" แล้วก็เล่นต่อ พี่โหยวแอบมองหน้าเรา ประมาณว่า ลูกไปฟังมาจากไหน เออ เราเองได้แต่ยิ้มแหะๆ

รูปฮั่น แต่งเป็นนักเปียโน ตอนสองขวบกว่า


เป็นโรคอะไรไม่รู้ เวลาอยู่กับลูก กำลังคุยๆกันอยู่ มันมักจะมีเพลงสมัยดึกดำบรรพ์ พระเจ้าเหา แบบยังจำไม่ได้เลยว่าใครร้อง แต่ดันมีเนื้อหาสอดคล้องกับไอ้เรื่องที่กำลังคุยกันอยู่พอดี ผุดขึ้นมาในหัว  เราก็ร้องให้ฮั่นฟังแบบขำๆ (อ่านกันไปถ้าใครหัวเราะแปลว่าแก่พอจะรู้จักเพลง) อย่างเช่น

ฮั่นบอก อยากนอนอย่างเดียว เราก็ร้อง "ข้าวปลาไม่กินไม่เดือดร้อน เหตุใดเธอจึงเอาแต่นอน....นอน นอน นอนๆๆๆ บังอรนอนหมอน"

ฮั่นเรียก ธันธัน (ธันมาจาก Thunder) อยู่ๆ ก็เผลอหลุดปากว่า "Thunder Thunder Cat Cat catttt"

ฮั่นเล่นไดโนเสาร์ เราก็ "ไดโนเสาร์ ไดโนเสาร์ หัวเจ้าก็ยาวตัวก็โตดูจะสูงใหญ่ อยากจะโตอย่างเจ้าไดโนเสาร์ เธอคงจะมองคงจะเห็นเราซักที"

ฮั่นร้องรถไฟปูน ปูน เราก็ "choo chu la chu la choo chu This is the love train choo chu la choo chu ถึงก็ช่างไม่ถึงก็ช่าง"

ฮั่นชอบกินกล้วยไข่ เราก็ "กล้วยน้ำว้าเวลาสุกงอม กล้วยหอมกินแล้วชื่นใจ ฉันชอบกล้วยไข่ เพราะมันไม่มีกระดูก"

เวลาจะนอน กล่อมลูกก็ "หลับตาสิที่รัก ในวงแขนของฉันจะไม่มีผู้ใดคิดทำลายเธอได้"

เวลาตื่นนอน ร้องปลุกลูก "เช้าแล้ววันใหม่ มองไปนอกหน้าต่างเจอฟ้าใสสว่าง"

เวลาฮั่นเล่นกล แม่มันก็ "โอมะลึกกึกกึ๋ยๆๆ โอมมมม"

เวลาฮั่นไม่ยอมทำตามสัญญา เราก็โอดโอย "ก็เคยสัญญา กันว่ารักกัน บลา บลา บลา"

และยังมีอีกเยอะจนไม่น่าเชื่อว่าขุดออกมาได้ไง พูดถึงสัตว์อะไรก็มีเพลงหมดเลย อย่างแมว แมงมุม เสือ เต่ากับกระต่าย นก(แล) วัว  แม้แต่ (มนุษย์)ค้างคาว ฯลฯ  บอกมาเถอะ สามารถต่อเป็นเพลงได้หมด ดีนะส่วนใหญ่ร้องกันแค่แม่ลูก ถ้าพ่อมันมาอยู่ด้วยคงจะเพลีย

ที่บ่อยมาก คือ "ฉันคิดถึงเธอตั้งแต่หัวค่ำจนอุษาสาง ด้วยเกิดความรักผุดขึ้นที่กลางหว่างหทัย บลา บลา บลา"
ใครเกิดทันก็คงรู้ว่าเป็น เพลงวนาลี  ขอเอาเป็นยุคพี่หมิวกับนก ฉัตรชัยเลยล่ะ (เพราะเวอร์ชั่นอื่นไม่รู้ใครเล่น พอดีมีลูกเลยเลิกดูทีวีไปแล้ว)
ตอนอาบน้ำก็จะร้องให้ฮั่นฟัง ประมาณว่าอยากบอกลูกว่าคิดถึงมาก  แปลกที่ว่าฮั่นชอบมาก บอกว่าเพลงเพราะจัง เลยถามฮั่นว่า ฮั่นเข้าใจหรือเปล่า แล้วรู้หรือเปล่าว่าหทัยคืออะไร ฮั่นบอกรู้ หัวใจใช่มั้ย เออ รู้ได้ไงเนี่ย เค้าบอกว่าเดาดู ฮั่นจำชื่อเพลงไม่ได้ แต่จะบอกว่าเพลงที่มามี้ร้องในห้องน้ำนะ ก็จะเข้าใจกันสองแม่ลูก

เพลงประจำตัวฮั่น ก็คือ Close to You  ของ Carpenter ร้องให้ฮั่นฟังตั้งแต่เล็กๆ โตขึ้นก็เริ่มแปลความหมายให้ฮั่นฟัง ตอนฮั่นเล็กๆ เราไม่ค่อยมีเวลาดูแลลูก ได้เจอลูกลีมตาเล่นด้วยแค่วันละสองชั่วโมงก่อนลูกจะหลับไป เช้าตรูก็ต้องออกจากบ้านไปทำงาน ใจนี้ลอยไปอยู่ใกล้ฮั่นเสมอ นั้นคือที่มาของเพลงประจำตัวฮั่น ทุกครั้งเวลาไปงานเลี้ยง มีคนร้องคาราโอเกะเพลงนี้ ฮั่นจะบอกว่าเพลงที่มามี้ร้องให้น้องฮั่นนิ

ตอนนี้มีธันธัน ยังคิดหาเพลงประจำตัวธันอยู่ว่าจะเป็นอะไรดี เยอะเหลือเกินยังเลือกไม่ถูก แต่ของฮั่นได้เพิ่มมาหนึ่งเพลงก็คือ "พี่ชายที่แสนดี" ร้องย้ำ ซ้ำๆให้ฟัง และบอกทุกครั้งว่า อยากให้ฮั่นเป็นพี่ชายที่ดีเหมือนปะป๊า มามี้ดีใจและภูมิใจที่ฮั่นเป็นพี่ที่ดีของน้อง

ร้องไป ก็เพิ่งพิจารณาเนื้อเพลงไปอย่างระมัดระวังก็ตอนนี้แหล่ะ เพราะเพิ่งนึกได้ว่าลูกมันจะเข้าใจมั้ย ก็เลยได้สังเกตเนื้อหาของเพลงสมัยก่อนว่า ใช้ศัพท์ที่ละมุนละมัย น่าฟัง เป็นเพลงที่สอดแทรกความหมาย เหมาะกับการสอนเด็กดี เด็กฟังได้ไม่เป็นพิษเป็นภัย ไม่เหมือนเพลงสมัยนี้ อะไรก็ไม่รู้ หลานสาววัยป.1 ชอบมาร้องโชว์ ร้องไปเต้นกระดกหน้ากระดกหลังไป  she เป็นขาแดนซ์ตัวแทนห้องตั้งแต่อนุบาล จัดไปตั้งแต่ "check rating ค่ะเช็ค rating" "เอะอะ เอะอะก็โป๋" "แน่นอก ยกออก" จนล่าสุด "ท่านกำลังเข้าสู่บริการรับฝากหัวใจ ใจแลกเบอร์โท โอ โอ้ว โอ๊ย"  แล้วทุกปีก็ต้องไปซื้อโต๊ะจีนเพื่อไปดูการแสดงของลูกหลาน ดูเด็กอนุบาล ประถม แต่ตัวโป๊ๆมาเต้นเพลงพวกนี้ เพื่อแสดงความสามารถก่อนจบการศึกษา ประมาณว่าลูกหลานเรียนมาตลอดปี มีดีตรงที่เต้นได้ร้องเพลงได้อย่างเดียว ดีใจมากที่โรงเรียนฮั่นไม่ได้เป็นแบบนั้น ไว้คราวหน้าจะมาเล่าให้ฟังว่าเป็นยังไง

กลับมาที่เพลงเก่าของเราต่อ ก่อนนอนคืนนี้ กำลังเล่นกันกับฮั่น เรื่องโตขึ้นเป็นอะไร เราก็หลุดเพลงมาท่อนหนึ่งแบบไม่ได้คิด "หนูอยากเป็นทหารนั่งบนรถถังที่คันใหญ่" ประมาณว่าช่วงนี้ ฮั่นชอบทหารมาก เพิ่งซื้อเสื้อชุดทหารแล้วเอาใส่ไปโรงเรียน ฮั่นฟังปุ๊บก็สนใจ ถามมามี้ร้องเพลงอะไรอ่ะ เราเลยหาใน youtube ให้ฟัง ตัวเองฟังเอง เนื้อหาดีมาก เหมาะกับการสอนลูก สอนเด็กทุกคนในโลกนี้ ป้าเบิร์ดก็ช่างถ่ายทอดเพลงได้อย่างอ่อนโยนแต่หนักแน่นให้เด็กน้อยทำดี ทำไมนะ ไม่ค่อยมีใครเอาไปสอนหรือทำเป็นการแสดงในโรงเรียนเลยนะ

ใครจะว่าเราเชย ร้องเพลงสมัยนี้ไม่เป็นก็ไม่เป็นไร ลูกเราร้องเต้นไม่ได้ตามสมัยก็ไม่เป็นไร เราขอเลือกสื่อบันเทิงที่ส่งเสริมลูกให้เป็นคนดี แทนสมัยนิยมละกัน ฝากเพลงนี้ก่อนนอนกันนะคะ



เนื้อเพลง: หนูอยากเป็นอะไร
ศิลปิน: เบิร์ด ธงไชย แมคอินไตย์
อัลบั้ม: ส.ค.ส.
(เนื้อเพลงได้มาจาก lyrics.in.th)


ไกลสุดไกล สุดปลายรุ้ง
ดวงตาน้อยน้อยมุ่งมองไปแสนไกล
เด็กน้อยเอย เจ้าฝันเจ้าใฝ่
ฝันถึงสิ่งใด บ้างหนา
หนูหนูเอย หนูน้อย
ขอถามหนูหน่อย ได้ไหม
หนูใฝ่หนูฝัน อยากเป็นอะไร
เมื่อหนูโตใหญ่ สิ่งไหน ที่ อยาก เป็น
รักษาคุณพ่อตอนไม่สบาย
ขอให้หนูได้เป็นหมอ ขอให้สมดังใจ
(ด.ญ1)หนูจะเป็นคุณครูสมที่หนูตั้งใจ
ขอให้เป็นคุณครูสมที่หนูตั้งใจ
ที่คันใหญ่ใหญ่
ขอให้ได้เป็นทหารที่กล้าหาญชาญชัย
(ด.ญ2)หนูจะเป็นพยาบาลคอยดูแลคนไข้
ขอให้เป็นพยาบาล พูดหวานจับใจ
(ด.ช3)หนูจะเป็นตำรวจเป็นผู้หมวดจับผู้ร้าย
ขอให้ได้เป็นตำรวจ เป็นผู้หมวดปืนไว
ไม่ว่าใครจะเป็นอะไร อยากเป็นสิ่งใด
ขอให้สมดังใจได้เป็นอย่างฝัน แต่มีอีกอย่าง
ที่สำคัญ เหนือ สิ่ง ใด นั้น คือเป็น คนดี
ทำสิ่งใด จะคิดอะไร หนูจะได้ดังใจ เสมอ
ดวงดาวสายรุ้งจะเป็นเพื่อนเรา
ความหงอยเหงา ก็ไม่เจอะเจอ
เป็นคนดี กันดี ไหมเออ ทำดีเสมอ
ไม่ว่าหนูจะเป็นอะไร
หนูอยากมีแต่คนรักใคร่
จะทำสิ่งใด จะคิดอะไร หนูคงได้ดังใจ เสมอ
ดวงดาวสายรุ้งจะเป็นเพื่อนเรา
ความหงอยเหงาก็ไม่เจอะเจอ
เป็นคนดี คงดีนะเออ ทำดีเสมอ ตลอดไป
หนูจะมีแต่คนรักใคร่
จะทำสิ่งใด จะคิดอะไร หนูจะได้ดังใจ เสมอ
ดวงดาวสายรุ้ง จะเป็นเพื่อนเรา
ความหงอยเหงาก็ไม่เจอะเจอ
เป็นคนดี กันดีไหมเออ ทำดีเสมอ
ไม่ว่าหนูจะเป็นอะไร
หนูจะมีแต่คนรักใคร่
จะทำสิ่งใด จะคิดอะไร หนูก็ได้ดังใจ เสมอ
ดวงดาวสายรุ้ง จะเป็นเพื่อนเรา
ความหงอยเหงาก็ไม่เจอะเจอ
เป็นคนดีคงดีนะเออ ทำดีเสมอ ตลอดไป
หนูจะมีแต่คนรักใคร่
จะทำสิ่งใด จะคิดอะไร หนูก็ได้ดังใจ เสมอ
ดวงดาวสายรุ้ง จะเป็นเพื่อนเรา
ความหงอยเหงาก็ไม่เจอะเจอ
เป็นคนดีคงดีนะเออ ทำดีเสมอ ตลอดไป


(ด.ช1)หนูอยากจะเป็นหมอ
(ด.ช2)หนูอยากเป็นทหารนั่งบนรถถัง
ถ้าโตขึ้นไปหนูเป็นคนดี หนูจะมีแต่คนรักใคร่
(เด็กหมู่) หนูโตขึ้นไปหนูเป็นคนดี
ถ้าโตขึ้นไปหนูเป็นคนดี
(เด็กหมู่)หนูโตขึ้นไปหนูได้เป็นคนดี
(เด็กหมู่)หนูโตขึ้นไปหนูได้เป็นคนดี


19 ก.พ.2014

วันอังคารที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

พาเบบี้ไปทดลองเรียน ขัดใจอ่ะ มันคงไม่ใช่แนวเรา

คราวก่อนที่เขียนเรื่องไปเรียนพิเศษของฮั่น ควรนี้ขอพูดถึงธันธัน My Baby บ้าง บทความนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวล้วนๆนะคะ เพราะอาจจะไม่ตรงกับความคิดเห็นของคุณพ่อคุณแม่ส่วนใหญ่  คงเป็นเพราะเราเลี้ยงลูกคนละแนวกับการสอนของโรงเรียนมากกว่า



ทุกวันเสาร์ เราจะพาฮั่นไปเรียนภาษาอังกฤษ ก็ต้องหอบหิ้วธันธันไปด้วย ไปเล่นในห้องของเล่นที่ร.ร.  ซึ่งธันตอนนี้ขวบหนึ่งเดือน เดินคล่องมาก แต่ยังไม่ค่อยพูดหรือทำตามคำสั่งอะไร ใกล้ๆกับร.ร.ที่ฮั่นไปเรียน ก็มีร.ร.เสริมพัฒนาการของเบบี้  มีคุณพ่อคุณแม่พาลูกน้อยมาเรียนกันเต็มไปหมด ดูน่าสนใจ ไหนๆก็ว่างๆอยู่ เวลาเรียนก็ตรงกับเวลาที่ฮั่นเรียน ก็เลยลองไปดูว่าเค้าสอนอะไร ยังไง เป็นช่วงหาข้อมูล ทดลองเรียนให้แน่ใจว่าโอเคมั้ย ถ้า work ก็จะได้เอาธันไปเรียน จะได้มีอะไรทำ ดีกว่ามานั่งคอยฮั่น  

มุมของเล่นที่รร.ภาษาอังกฤษเฮียฮั่น เล่นสนุกมากมาย

ว่าแล้วก็สอบถามหาข้อมูล หลักสูตรสำหรับเบบี้เป็นยังไง สอนอะไร ที่ร.ร.อธิบายแนวทางในการสอน ประโยชน์ข้อดีที่เอาลูกมาเรียน แบบช่วยเพิ่มทักษะของลูกนั้นนี้น่าสนใจมาก  เจ้าของโรงเรียนแนะนำให้ลอง class สำหรับเด็กเดินคล่องแล้ว อายุประมาณ 1 ขวบขึ้นไป  ก็จัดไป ลองเลยละกัน ห้องเรียนกว้างมาก มีโซนที่เป็นgym และของเล่น พวก สไลด์ เบาะรูปร่างต่างๆ สีสันสดใส  มีชิงช้า Trampolineเล็กๆ  และมีโซนสำหรับทำกิจกรรมวงกลมของเด็กๆ มีคุณครูหลัก 1 ท่าน และคุณครูน้อยอีก 4 ท่าน มาช่วยประกบเด็กๆและพ่อแม่  คุณชายธันตื่นเต้นมา วิ่งเข้าไปเล่นสไลด์ และของเล่นที่อยู่ในห้องอย่างเมามัน สนุกใหญ่ เล่นได้แป๊บเดียว คุณครูก็เรียกรวมกลุ่มวงกลม คลาสเป็นภาษาอังกฤษ คุณครูหลักเป็น Filipino ฟังจากสำเนียงภาษาอังกฤษนะ ทุกครั้งที่คุณครูพูด ครูน้อยๆทั้งสี่ก็จะพูดตาม อย่างกับ Teletubbies  รู้มั้ยว่าทำไมต้องพูดซ้ำๆ เราดูก็น่าเบื่อ แต่จริงๆแล้วมันเป็นการสอนแบบหนึ่ง เคยได้ยินมาว่า (จำไม่ได้แล้วว่าที่ไหน) เด็กๆจะเรียนรู้และจดจำภาษาถ้าได้ยินคำซ้ำๆมากกว่าสามครั้งขึ้นไป เราก็ใช้วิธีนี้เหมือนกันเวลาคุยกับลูกก็พูดคำเดิมซ้ำๆสามสี่ครั้ง ได้ผลไม่ได้ผลก็ไม่รู้นะ  แต่ตอนที่ธันได้ยินเสียงประสานของพวกคุณครูซึ่งดังมาก ก็ตกใจ ผวามากอดแม่ทันที 555  นี่เป็นหนึ่งตัวอย่างของวิธีการสอนเด็กๆที่โรงเรียนนำมาใช้

ครูเรียกแล้ว เด็กคนอื่นๆก็เข้ากลุ่มอย่างเรียบร้อยรู้หน้าที่ ส่วนธัน เด็กใหม่ มิได้สนใจใดๆ ก็วิ่งไปเล่นของเล่น ครูก็มาต้อนให้กลับไปเข้ากลุ่ม ธันก็วิ่งไปเล่นอีก เป็นแบบนี้ประมาณสิบกว่ารอบ ใจจริงอยากปล่อยลูกให้เล่นของเล่นไป แต่เพราะเป็นการเข้ามาลองเรียน เราก็เกรงใจคลาส ไม่อยากให้คุณครูเสียระบบการสอนของเค้า เพราะพอลูกเราไปเล่น เด็กคนอื่นก็อยากวิ่งไปเล่นตามด้วย ก็ต้องวิ่งจับลูกมาเข้ากลุ่มด้วยความขัดใจ คิดในใจว่า ถ้าอยากให้เด็กไม่สนใจของเล่นล่ะก็ ทำไมไม่แยกห้องของเล่นกับห้องทำกิจกรรมไปล่ะ เด็กเล็กอย่างนี้ จะมาให้สนใจกลุ่มก็ลำบากนะ แต่พ่อแม่บ้านอื่นๆก็เก่งนะ จับลูกตัวน้อยมานั่งให้อยู่นิ่งๆ ทั้งๆที่ลูกร้องอยากจะเล่นจะแย่  ท่องไว้ในใจ มาทดลองเรียนฟรี อย่าอะไรมาก

กิจกรรมเริ่มไปอย่างรวดเร็ว คุณครูใช้ของเล่นมาล่อเด็กในแต่ละกิจกรรม สอนเด็กให้รู้จักชื่อผลไม้ ตัวเลข ให้เด็กทำตามเกมที่กำหนด เช่น ถ้าเป็น บล็อคโฟม ก็ต้องจับมาใส่ให้ถูกต้อง หรือพิระมิดห่วงยาง ก็ต้องให้เด็กใส่เรียงจากใหญ่สุดไปเล็กสุด เป็นต้น  แม่มันก็เริ่มขัดใจอีกแล้ว คิดในใจว่า ก็เข้าใจนะว่าเป็นหลักการในการสอนที่ถูกต้องโดยให้เด็กจดจำแบบแผนการเล่น เพื่อให้ทำตามได้อย่างถูกต้องตามวิธีที่กำหนด  แต่ส่วนตัวไม่ชอบ รู้สึกบังคับลิงน้อยของเราให้เล่นแบบมีแบบแผนเกินไป คัดกับวัยของลูก  เราชอบที่เน้นวิธีหรือ process ของการเล่นมากกว่าผลลัพธ์ของการเล่น ชอบดูลูกเอาของเล่นมาเล่นแปลกๆ มากกว่า ปล่อยอิสระให้ลูกเป็นผู้นำการเล่นมากกว่า แล้วเราก็เล่นตามเค้า หรือไกด์เค้าให้เล่นอย่างปลอดภัยเท่านั้นเอง

ระหว่างทำกิจกรรม สังเกตเด็กๆคนอื่น มีทั้งเด็กที่ทำตามอย่างน่ารัก ไม่ยอมทำบ้าง งอแงบ้าง หรือไม่สนใจเลย ธันธันไม่สนเลย อยากวิ่งไปเล่นสไลด์กับของเล่นอย่างเดียวเลย อันนี้ก็เป็นปกติธรรมดาของเด็ก แต่พอสังเกตพ่อแม่ที่ดูลูก พ่อแม่ส่วนใหญ่ดูจะเล่นกับลูกไม่เป็นจริงๆ พ่อแม่ดูไม่สนุก เหมือนมีหน้าที่ในการจัดการให้ลูกทำตามครู เด็กร้องไห้งอแงก็มีดุบ้าง หรือดึงลากลูก หรือจับมือลูกบังคับให้เล่น  เราไม่สามารถทำอย่างนั้นได้จริงๆ ไม่ชอบบังคับลูกเมื่อลูกไม่พร้อม นี่ถ้าเป็นเด็กอายุ 2-3 ขวบที่คุยรู้เรื่องก็ว่าไปอย่าง นี้มันเบบี้นะ จะไปบังคับอะไรเค้ามากมายอ่ะ เราเลยลองปล่อยให้ครูเค้าจัดการธันธัน ดูว่าจะทำยังไง ครูน้อยๆ ก็น่ารัก ดูแลเด็กๆอย่างใจเย็น พยายามตะลอมให้เด็กมาเล่น เดินไปอุ้มธันมาเข้ากลุ่ม แต่ก็ยังไม่สามารถทำให้ดึงดูดธันๆ ให้กลับมาเล่นได้เท่าไร ลูกฉันนี้เทพจริงๆ

กิจกรรมมาเร็วจบเร็ว ตามสมาธิที่ยังน้อยอยู่ของเด็กวัยนี้ มีอุปกรณ์มาเสริมการเรียนการสอนตลอดเวลา มีให้ทำศิลปะด้วย อ้าวลองดู พ่อแม่พาลูกน้อยใส่เสื้อกันเปื้อนน่ารักมานั่งเก้าอี้ และจับมือระบายสีน้ำบนรูปกล้วย พ่อแม่เกือบทุกบ้านช่วยจับลูกบรรจงทำอย่างสวยงาม ส่วนธันธันนั้นหรือ นั่งโต๊ะนิ่งได้ก็ดีหนักหนาแล้ว พอจับพู่กันปุ๊บก็เอาเข้าปาก มือตะปบสี จริงๆอยากปล่อยลูกให้ทำเลอะเทอะ แต่เพราะมาทดลองเรียนฟรี ท่องไว้ในใจ จึงต้องรีบจับลูกมาเขียนพู่กันดีๆ แต่ก็ไม่ได้บังคับมาก เราจับมือธันแบบหลวมๆ ให้เค้าลากพู่กันเอง สีออกมาไม่สวยงามมากเหมือนคนอื่นที่พ่อแม่จัดให้

พอทำศิลปะเสร็จ ครูก็ให้เล่นอิสระ เป็นช่วงเวลาที่ดูธันมีความสุขที่สุด เพราะได้ปีนป่าย หัวเราะ กระโดด ได้เล่นจริงๆ ช่วงเวลาแห่งความสุขของลูกมีเพียงสี่ห้านาที ครูก็เรียกกลับเข้าวงกลม เอาปืนเป่าลูกโป่ง bubble มาเรียกเด็กๆ เด็กๆวิ่งกรูกันไปกระโดดจับ ส่วนธันธัน ยืนกอดแม่ด้วยความตกใจ เพราะไม่เคยเล่นมาก่อน ดูบ้านนอกมาก ครูน้อยๆพยายามมาชวนธันไปเล่น แต่ธันไม่ยอมกอดแม่อย่างเดียว สักพักก็เริ่มกิจกรรมใหม่ มีร้องเพลงให้เด็กทำท่าตาม เด็กทำไม่ได้พ่อแม่ ครูน้อยก็มาจับไม้จับมือให้ทำตาม ไม่ต้องพูดถึงธันธัน โน้น วิ่งไปเล่นสไลด์อยู่โน้นแล้ว พออุ้มกลับมาก็เริ่มงอแง ท่องไว้ในใจว่ามาทดลองเรียนฟรี อดทนบังคับลูกหน่อย แต่ใจอยากจะให้ลูกเล่นตามใจจะแย่  
ก่อนกลับ มีพิธีมอบประกาศนียบัตรให้เด็กคนหนึ่งที่เรียนจบคลาส มีใส่หมวกและสายสะพาย และให้เดินจับมือเพื่อนในคลาส ดูแล้วก็น่ารักดี แต่คิดว่าถ้าเป็นฮั่น ลิงน้อยจอมขี้รำคาญล่ะก็ อายุขนาดนี้คงดึงหมวก ดึงสายสะพายโยนทิ้งไปแล้ว  เกือบจะจบ ธันธันก็ยังไม่สนใจอะไรอยู่ดี 

จบการทดลองเรียน เรารีบเอาลูกไปเล่นเลย เจ้าของโรงเรียนมาคุยว่าเป็นไงบ้าง ก็บอกเค้าไปว่า ลูกยังเล็กไปค่ะ เลยไม่ค่อยมีสมาธิกับการเรียนเท่าไร พูดแบบกลางๆจะได้บอกปัดได้ถูก จะบอกว่าไม่ใช่แนวฉันก็จะดูน่าเกลียด เจ้าของบอกว่า เป็นปกติค่ะคุณแม่ น้องมาใหม่ๆก็จะไม่สนใจ แต่เดี๋ยวมาซ้ำๆ เด็กๆจะรู้เองค่ะว่าต้องทำอะไรเมื่อไร ยิ่งส่งเด็กมาเรียนเร็ว ก็จะยิ่งพัฒนาเร็วนะคะคุณแม่  เราอดใจไม่ได้เผลอถามสวนไป ที่พัฒนาการดีขึ้นนี่ เรื่องอะไรหรือค่ะ  คือสงสัยจริงๆว่าเด็กทำตามหรือเล่นตามกฏเกณฑ์ทั้งที่ไม่ใช่วัยของเค้า คือ มีพัฒนาการดีงั้นหรือ เอกสารที่เค้าให้บอกว่าช่วย  ครูตอบว่าประมาณว่า  ก็เด็กทำตามที่สอนได้ ไม่งอแง ลูกเค้าก็พัฒนาการเร็วมากแป็บเดียวก็ทำตามที่ครูบอกได้ ยิ่งเรียนเร็วยิ่งดีนะคุณแม่  เราได้แต่ยิ้มๆ ชมลูกเค้าเก่งจัง  คงไม่ใช่แนวชั้นแล้วล่ะ พื้นฐานและนิสัยของเด็กแต่ละคนไม่เหมือนกัน เด็กบางคนอาจจะเด่นเรื่องสังคม เด็กบางคนมีพัฒนาการเรื่องกล้ามเนื้อดี เด็กบางคนอาจจะพัฒนาการทางภาษาดี คงจะมาวัดว่าเข้ามาเรียนแล้วพัฒนาการดีเพราะทำตามได้ มันค่อนข้างคัดใจแม่มันจริงๆ 

วัยเบบี้ 1-2 ขวบน่าจะมีความสุขกับการเล่นของเค้า หากจะให้สอดแทรกความรู้ให้เด็ก ครูจะต้องมีความสามารถในการเรียกหรือดึงความสนใจเด็กให้ได้มากกว่านี้ อย่างโรงเรียนภาษาอังกฤษที่ฮั่นเรียน คลาสเบบี้จะเน้นให้เด็กเล่นอย่างสนุก ซึ่งเด็กกับพ่อแม่สนุกไปด้วยกันจริงๆ ในห้องเรียนมีบรรยากาศให้เด็กสนใจแต่ครู และคลาสไม่ใหญ่มาก ไม่บังคับเด็กจนเกินไป เสียดายเวลาไม่ตรงกับท่ีเราอยากให้เรียน 


สรุปว่า หลักสูตรของโรงเรียนไม่ได้ผิดอะไร แต่ไม่ใช่แนวของเรา สำหรับคุณพ่อคุณแม่ปกติทั่วไปก็คงโอเค ลูกไปเรียนได้ภาษาได้สนุก ก็โอเคค่ะ เพราะเข้าใจว่าสมัยนี้พ่อแม่ก็ไม่ค่อยมีเวลามากนักทีจะเล่นกับลูก หรือสอนหรือพัฒนาลูก โรงเรียนเสริมพัฒนาการเด็กเล็กจึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ ก็คงต้องดูกันไปค่ะ อย่างที่บอก จะเลือกเอาลูกไปเรียนอะไรก็ต้องดูให้ครบทุกด้าน เผอิญว่าอีแม่คนนี้มันไม่สนุกด้วยกับวิธีการเรียนการสอน ก็เลยจบ เอาธันธันไปกลับไปเล่นของเล่นที่รร.ฮั่นเหมือนเดิมดีก่า หรือจับอยู่บ้านไปช่วยทำ (ยุ่ง) สวนบนดาดฟ้าแทนละกัน ยังมีอะไรให้สนุกๆให้เบบี้ของมามี้เล่นอย่างอิสระอีกเยอะเลย

18ก.พ.2014

วันจันทร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

เลือกกิจกรรมหรือเรียนพิเศษ อย่างไรให้ลูกและพ่อแม่มีความสุข (ตอนจบ)

เลือกกิจกรรมหรือเรียนพิเศษ อย่างไรให้ลูกและพ่อแม่มีความสุข ตอนต่อ

คิดสะระตะแล้วเห็นว่าโอเคเกือบทุกข้อยกเว้นข้อ 1 กับข้อ 3 แต่เมื่อลูกอยากรู้อยากลองในสิ่งที่ตัวเองไม่เคยลองมาก่อน เราก็ยินดี และสนับสนุนสุดๆ  ฮั่นไปเรียนครั้งแรก เตะเข้าประตู ดีใจมาก และแฮปปี้มาก บอกชอบเล่น อยากไปอีก พอครั้งที่สอง-สาม กลับมาบอกเสียใจมาก เพราะเค้าไม่ได้ลูกบอลเลย แล้วก็ไม่ชนะ เราถามว่า ชนะของฮั่นคืออะไร ฮั่นบอก ก็ยิงเข้าประตูไง จุดนี้ทำให้เข้าใจว่า เค้ามองเรื่องการแพ้-ชนะเป็นอย่างไร  เราลองถามย้อนฮั่นว่า มีใครได้ยิงเข้าประตูบ้าง และมีใครยิงไม่เข้าบ้าง อันไหนเยอะกว่ากัน ฮั่นก็ตอบ แต่สุดท้าย ด้วยความเป็นเด็ก เจตจำนงค์ที่อยากจะเป็นผู้ที่ยิงเข้าประตู เพื่อเป็นผู้ชนะ ฮั่นไม่สนใจหรอกว่าใครยิงได้ไม่ได้ ฮั่นไม่ได้อยากไปเล่นเพราะมีเพื่อนๆเล่นกันเต็มไปหมด แต่ตัวเค้าอยากจะบรรลุสิ่งนั้น เมื่อไม่ได้ เพราะทั้งร่างกายไม่เอื้อให้วิ่งทัน กระแทกคนอื่นแย่งลูกได้ ก็เป็นธรรมดาที่จะผิดหวังเสียใจ  ได้แต่ให้กำลังใจเด็กน้อย ลองให้เค้าคิดทบทวนดูเองและลองกลับไปเล่นใหม่ว่า ยังคงความคิดเดิมมั้ย



จะป้องกันไม่ให้มันเกิดขึ้นอีกได้อย่างไร
พูดยากเหมือนกัน แต่เหมือนเวลาทำงาน project เราต้องมีการทำ protect the plan เอาไว้อยู่แล้ว (ระดับนี้แล้วนะฮะ) ในกรณีว่าลูกมีโอกาสล้มเลิกเปลี่ยนใจกลางคัน เราก็มีแผนสำรอง แบ่งเป็น2 ช่วง 

I. ช่วงก่อนสมัคร

1.       ให้ลูกไปดู ไปทดลองการเรียน หลายครั้งหน่อย ไปสัมผัส จนลูก(และพ่อแม่) แน่ใจ

2.       ศึกษาเงื่อนไขการเข้าเรียน ขาดเรียน เรียนชดเชยให้ถ้วนถี่ ทั้งโรงเรียนที่จะไปเรียนและที่อื่นๆ เพื่อใช้เป็นข้อมูลเปรียบเทียบเวลาไปคุยต่อรองกับโรงเรียน

3.       คุยกับโรงเรียน หรือคุณครูให้เข้าใจสภาพของลูกเรา อาจจะขอต่อรอง ว่าเรียนเป็นครั้งๆ  หรือครึ่งคอร์ทก่อนจนกว่าจะแน่ใจแล้วจะลงคอร์ทเต็ม

4.       แนะนำเพื่อนๆของลูกมาเรียนด้วยกัน จะได้มีคนช่วยกันเรียนให้รอด

5.       บอกกับลูกล่วงหน้าว่าจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าเลิกกลางคัน  ลูกต้องมี commitment เมื่อเลือกเรียน ต้องทำจนจบ หากเลิกกลางคัน เครดิตในการขอครั้งหน้าอาจจะลดลง (ส่วนตัว กะว่า ถ้าโตขึ้น จะจับลูกเซ็นสัญญาซะเลย มีบทลงโทษด้วย หึหึ)



II. ช่วงเข้าเรียนแล้ว

1.       ขอลดชั่วโมงเรียนให้น้อยกว่าเวลาจริงในช่วงแรก ถ้าเห็นว่าลูกไม่ชอบหรือไม่อยากเรียนต่อ (อันนี้ต้องตกลงกับครูก่อนว่าถ้าเห็นสภาพเด็กไม่ให้ความร่วมมือก็เลิกก่อนได้ พ่อแม่ไม่ควรแทรกแซงในชั่วโมงเรียนของลูก เพื่อให้คุณครูทำงานง่าย และเด็กให้ความเคารพครู)

2.       เลื่อนการเรียนออกไป ในวันเวลาที่ดูว่า ปัจจัยทางกาย และจิตใจของลูกไม่พร้อมที่จะเข้าเรียน เช่น ง่วงนอน ไม่สบาย งอแง

3.       สังเกตสภาพการเรียนอย่างใกล้ชิด อาจจะขอครูให้เพิ่มลดอะไรที่ยาก/ง่ายเกิน ต้องปรึกษาโดยไม่มีเด็กนะคะ เด็กๆฉลาดและรู้ว่า ถ้าพ่อแม่ไม่ชอบครู ก็มีข้ออ้างไม่เรียนต่อได้

4.       ลองเปลี่ยนครู หรือขอเปลี่ยนกลุ่มเล็กลง ถ้าทำได้ โดยไม่ติดข้อจำกัดของโรงเรียน

5.       กลับไปเอา inspiration  ของลูกมาคุยกันอีกที หรือให้กำลังใจลูกให้ลองทำดูใหม่ ไปทำกับลูก

6.       ไม่ลืมที่จะชื่นชมลูก หรือผลงานของลูก เป็นประจำสม่ำเสมอ และอย่างสมเหตุสมผล (อย่างให้เกินไปจนไม่น่าเชื่อถือ) ให้ลูกเกิดความภูมิใจและอยากทำต่อ



เย็นนั้น กลับบ้านไปคุยกับฮั่น ให้ฮั่นเล่าให้ฟังว่าไปเรียนมาเป็นยังไงบ้าง แล้วอยากไปเรียนต่อมั้ย ฮั่นก็เล่าให้ฟังและบอกอย่างชัดเจนว่าไม่อยากไป  ซึ่งเราก็ลองทุกข้อแล้ว ดูจะไม่สามารถเรียกความอยากไปเรียนของฮั่นกลับมา เราก็โอเคและเคารพในสิ่งที่ลูกตัดสินใจ (ถึงจะเป็นการตัดสินใจของเด็กสี่ขวบครึ่งก็เถอะ) 

เมื่อย้อนกลับไปดูสิ่งที่ตัวเองคิด มีหลายอย่างที่เราเองก็มองข้ามไปเพราะยึดมั่นถือมั่นในเป้าหมายของตัวเองที่อยากให้ลูกออกกำลังกายกับเล่นกับเพื่อนเยอะๆ แต่เมื่อเป้าหมายของลูกที่รู้สึกสนุกเมื่อชนะและได้เตะบอล มันจึงไม่ตรงกันนั้นเอง

เมื่อคนลงปฏิบัติจริงยืนกรานไม่ไปต่อ แม่ก็ไม่ขัดขวางใดๆ ด้วยเหตุผลง่ายๆว่า ฝืนไปลูกก็ไม่มีความสุข อีกอย่าง การบังคับให้ทำในสิ่งที่เค้าไม่ได้แฮปปี้ที่จะทำ มีโอกาสว่าลูกจะปฏิเสธหรือเกลียดสิ่งนั้นในอนาคต  เรากับ Hubby คิดว่าเราควรหยุดช่วงเวลาที่ลูกรู้สึกไม่ดีกับกีฬานี้ไว้ก่อน เพราะเราทั้งสองรู้ดีว่าฮั่นยังสนุกกับการเล่นฟุตบอลมากมาก  ได้แต่รอจนฮั่นพร้อมทั้งร่างกาย และวุฒิภาวะที่จะเข้าใจเรื่องแพ้ชนะ ก็ไม่สายที่จะพาไปเรียนใหม่ถ้าลูกต้องการ

ทุกวันนี้ ถึงไม่ได้ไปเรียนฟุตบอล แต่ฮั่นก็ยังเล่นบอล สนุกกับการเตะฟุตบอลที่บ้านกับพ่อกับแม่ แถมยังเอาธันธันมาเล่นด้วย แกล้งแพ้บ้าง ชนะบ้าง  ที่ภูมิใจที่สุดคือ ฮั่นแกล้งยอมแพ้ให้ธันธัน ..ในบางจังหวะ ...แค่นั้น มามี้ก็พอใจสุดสุดแล้ว

วันอาทิตย์ที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

เลือกกิจกรรมหรือเรียนพิเศษ อย่างไรให้ลูกและพ่อแม่มีความสุข ตอนแรก


เคยถาม hubby ว่า ทำยังไงถ้าลูกไม่อยากไปเรียนพิเศษ หรือทำนั้น ทำนี้ ที่เพิ่งไปสมัครไปแล้ว ตัวอย่างของเรื่อง เช่น อยู่ๆ ฮั่นก็มาบอกไม่อยากไปเตะฟุตบอล ทั้งที่ตอนแรกอยากไป แม่มันก็อุตสาห์หาซื้อชุดฟุตบอล พ่อมันพาไปซื้อรองเท้าบอลดีๆ (ฮั่นชอบใส่แต่รองเท้าแตะ รองเท้าผ้าใบไม่ได้ซื้อมานานมาจนเล็กหมดแล้ว)
Hubby ถามสวนกลับ : เป้าหมายที่ให้ไปเตะบอลคืออะไร
เรา : อยากให้ลูกได้ออกกำลังกาย และได้เล่นกับเพื่อน มีเพื่อนเยอะๆ
Hubby เล่าสภาพการเรียนฟุตบอลให้ฟังว่า  ช่วงที่ครูสอนให้เด็กเข้าแถวเตะหรือทำเดี่ยวๆ ฮั่นจะสนใจและสนุกมาก แต่พอแบ่งทีมให้เล่นในสนาม เค้าวิ่งตาม แย่งลูกเพื่อนไม่ทัน ลูกเลยรู้สึกไม่สนุก ฮั่นก็ไม่ได้เล่นกับคนอื่นๆ
เรา : อ้อ แล้วงี้ทำไง ไม่อยากเล่น ก็ไม่ต้องไปหรือ
Hubby : เธอไปคุยกับลูกดูเอง

เหตุการณ์นี้คงเกิดขึ้นกับหลายบ้าน และก่อให้เกิดเรื่องทะเลาะ หรืออารมณ์เสีย เมื่อลูกมาขอเลิกเรียนพิเศษหรือกีฬาที่พ่อแม่เสียเงินไปแล้ว บ้างครั้ง กลายเป็นพ่อแม่ทะเลาะกันเองก็มีเพราะฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ได้อยากให้ไปตั้งแต่แรก แถมพอมองไปที่ไอ้เจ้าลูกตัวตนเหตุ ก็ไม่มีอาการเดือดเนื้อร้อนใจ ก็หนูไม่อยากไปแล้วนิ


คาดการณ์อยู่ในใจตั้งแต่เริ่ม ว่าฮั่นจะไปเรียนฟุตบอลได้ไม่นาน  ด้วยเราก็คิดวิเคราะห์หลายด้าน และปัจจัยหลายๆอย่างทุกครั้งที่จะเลือกกิจกรรมพิเศษหรือกีฬาหรือเรียนพิเศษให้ลูกเสมอ โดยปัจจัยหลักๆก็คือ

1)      ความพร้อมทางร่างกาย  สำหรับเด็กวัยก่อนอนุบาลและอนุบาล เรื่องความสามารถของการใช้กล้ามเนื้อ และกำลังกายเป็นเรื่องที่สำคัญมากที่พ่อแม่ต้องดูเวลาเลือกเรียนกีฬา เพราะการเรียนอะไรที่เกินกว่าวัยเด็กอาจเป็นผลเสียมากกว่าผลดี นอกจากนี้ ต้องดูว่าเด็กมีสมาธิจดจ่อกับสิ่งที่เรียนได้มากแค่ไหน การเร่งให้เด็กไปเรียนว่ายน้ำ เรียนไวโอลีนหรือเปียโนตั้งแต่เด็กมากๆ ลูกอาจจะทำได้ไม่ดี เพราะเป็นการเรียนที่ต้องใช้สมาธิสูง และกล้ามเนื้อและประสาทในการรับรู้หลายด้านพร้อมกัน หน้าที่ของพ่อแม่ที่ต้องศึกษานะคะว่าเด็กวัยไหนเรียนอะไรบ้าง อย่างที่บอกว่าเด็กแต่ละคนไม่เหมือนกัน เด็กบ้างคนอายุยังไม่ให้แต่ร่างกายให้ก็สามารถเรียนได้เร็วกว่าก็เป็นได้

>  วิเคราะห์คุณลูกชาย : กำลังขาของฮั่นที่ยังไม่แข็งแรง เดินหรือวิ่งยังหกล้มอยู่บ่อยๆ เมื่อเทียบกับเพื่อนที่โตๆกว่า แต่เพราะเราอยากจะให้ลูกได้วิ่งออกกำลังกายเสริมสร้างกล้ามเนื้อขา และได้เล่นสนุก เลยมองข้ามส่วนนี้ไป


2)      ความพร้อมทางจิตใจ  ลูกต้องชอบและสนใจสิ่งนั้นก่อน สรุป Hubby และเรายึดหลักว่า “ต้องทำให้เค้ารักสิ่งนั้นก่อน เรื่องอื่นจะตามมาเอง”   อยากสร้าง Inspiration ในการเรียนให้เกิดในตัวลูกก่อน เพราะมันเป็นตัวที่ทำให้ลูกยึดมั่น และตั้งใจจะทำให้สำเร็จ  ความสนุกสนานก็เป็นหนึ่งใน inspiration ได้เหมือนกัน

แต่ในบ้างมุม เด็กก็คือเด็ก ชอบมันทุกอย่าง หรือไม่ก็เกลียดกลัวไปทุกอย่าง หรือวันนี้บอกอยากไปเรียนจะเป็นจะตาย อีกวันก็เปลี่ยนใจบอกเบื่อ ก็เป็นหน้าที่ของพ่อแม่ที่ต้องช่วยคัดกรองกันไป ถ้าเห็นว่าดีแล้วลูกไม่ชอบ เราก็จะลอง build ลองสร้างบรรยากาศ โน้มน้าวชัดจูง หลอกล่อกันหน่อยให้ลูกเห็นว่าดี แล้วพาไปลองดูว่าเค้าโอเคมั้ย ถ้าลูกชอบ ทุกอย่างก็จบ  แต่ถ้าไม่ชอบจริงๆ ก็ไม่ไปต่อ

>วิเคราะห์คุณลูกชาย : ฮั่นมาขอไปเรียนเองด้วยความมุ่งมั่น คราวนี้ไม่ได้ build อะไร เลยโอเค


3)      ลักษณะนิสัยของลูก ข้อนี้ส่วนใหญ่จะมาควบคู่กับความพร้อมทางจิตใจ ลูกชอบเล่นต่อสู้ก็จะสนใจการเรียนที่ได้ต่อสู้หรือกีฬาบู๋ๆ  ลูกชอบร้องเพลงเต้นรำก็จะแฮปปี้เมื่อได้ทำที่ชอบ แล้วถ้าลูกเป็นคนเงียบเก็บตัว กลัวคนแปลกหน้าล่ะ งอแง แล้วจะทำไง ก็คงต้องเลือกวิธีการสอนที่เหมาะกับลูกเราเพื่อให้เค้าสบายใจและมีความสุขกับการเรียน

ส่วนจะเลือกเรียนอะไรดี มีแนวคิดหลายอย่างค่ะ

-           หลายบ้านเอาลูกไปเรียนเพิ่มเติมเพื่อเปลี่ยนแปลงนิสัยลูก เช่น เอาลูกไปเรียนร้องเพลงเต้นรำ เพราะลูกขี้อาย จะได้กล้าแสดงออก ตัวเราก็เป็นเช่นกัน ที่ส่งฮั่นไปเรียนเพราะอยากให้ฮั่นรู้จักปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นเยอะๆ

-           หลายบ้านเอาลูกไปเรียนเพิ่มเติม เพื่อเอาพลังที่เหลือล้น (หรือซนหรือไฮเปอร์) ไปใช้กับอย่างอื่นให้เป็นประโยชน์ ดีกว่าเล่นไร้สาระอยู่ที่บ้าน

-           หลายบ้านเห็นว่าลูกเป็นพวกติดเพื่อน พอเห็นเพื่อนเรียนก็เลยอยากเรียนตาม ไม่ได้เสียหายอะไร

-           หลายบ้านคิดว่า ลูกเป็นพวกขี้กลัว หรือจะไม่ชอบอะไรถ้าไม่ได้ลองก่อน เลยหาอะไรให้ลองเยอะๆ

ในฐานะของพ่อแม่มีหน้าที่ในการเปิดโอกาสให้ลูกได้ทดลอง เมื่อลูกชอบ และทำได้ (ยังไม่ต้องถึงกับทำได้ดี) เจตจำนงค์ในการเรียนรู้ก็จะเริ่มมา  แต่ต้องอยู่ในพื้นที่ที่เข้าใจธรรมชาติของลูกตัวเองด้วย

>วิเคราะห์คุณลูกชาย : ฮั่นที่เป็นเด็ก ชอบเล่นคนเดียว หรือไม่ก็เล่นกับเพื่อนกลุ่มเล็กๆมากกว่ากลุ่มใหญ่ เป็นคนไม่ชอบเล่นปะทะ หรืออะไรเจ็บๆ แต่เพราะแม่มันอยากให้ลูกได้เข้าสังคม มีกลุ่มเพื่อนบ้างไรบ้าง

4)      ลักษณะการเรียน การสอน และตัวครู  วิธีการเรียนการสอนก็สำคัญมากเลย เพราะมันบอกได้เกิน 80%เลยว่า พ่อแม่ (เรื่องมากอย่างเรา) จะยอมส่งลูกมาเรียนดีหรือไม่ เอาปัจจัยข้อ 1-3 มาประกอบว่า ลูกเราเข้ากับวิธีนี้ได้มั้ย ครูคุมนักเรียนและห้องเรียนได้มั้ย เคยไปทดลองเรียนดนตรี วิธีการสอนเค้าไม่ผิดอะไร แต่ไม่เข้ากับลูกของเราที่นั่งไม่นิ่ง ไม่เคยจดจ่อหรือสนุกกับการอ่านโน้ต ซึ่งอาจจะเป็นเพราะเค้ายังไม่โตพอที่มีสมาธิ (อย่าคิดว่าลูกในวัยเดียวกันจะเหมือนกันนะคะ อย่าเทียบลูกเรากับลูกคนอื่น ว่าลูกเพื่อนอายุเท่ากันทำไมถึงเรียนได้)  เมื่อมันไม่ match

ส่วนตัว จะดูโหง้วเฮงครูด้วย ว่าถูกโฉลกหรือเปล่า ครูบางคน Ego สูง ไม่ชอบให้พ่อแม่เด็กไปยุ่งหรือ comment กับระบบของตัวเอง ถ้าเจอครูแบบนี้ แนะนำว่า อย่าไปเรียนด้วยตั้งแต่ต้น เพราะคุณจะไม่ได้การเรียนการสอนที่เหมาะกับลูกคุณ  แต่ในส่วนของในเวลาเรียน พ่อแม่ก็จะไม่เข้าไปแทรกแซงครูในห้องเรียนอยู่แล้ว แต่พออยู่นอกห้อง ก็ควรจะสามารถคุยกับครูเพื่อเพิ่มลดปรับกระบวนการสอนได้บ้าง อย่างที่บอกว่า เด็กแต่ละคนไม่เหมือนกัน และเด็กก็ไม่ได้เป็นทหาร ครูต้องมีลูกล้อลูกชนเพื่อให้เด็กเข้ามาอยู่ในกรอบเดียวกัน แต่จะปฏิบัติกับเด็กทุกคนแล้ว

> วิเคราะห์คลาสสอนฟุตบอล :  เป็นคลาสใหญ่ เด็กเยอะ ส่วนตัวครู ไม่ได้ลงไปดูเพราะครูไม่ได้ one on one และเพราะคาดหวังให้ลูกแค่ออกกำลังกาย เลยไม่ได้ดูรายละเอียดมากมาย

5)      ความพร้อมของพ่อแม่ จิตใจและร่างกายของพ่อแม่ก็สำคัญค่ะ เช่น การไปรับไปส่ง สถานที่เรียน เวลาเรียน ค่าเรียนแพง เป็นต้น  เคยที่มีทะเลาะกับ Hubby เพราะพ่อมันช้า ขับรถไปส่งลูกเรียนไม่ทันบ้าง พ่อมันก็อารมณ์เสีย วันหยุดทำไมฉันต้องตื่นเช้าขับรถไกลขนาดนี้ด้วย พ่อแม่ไม่พร้อม โอกาสจะเรียนได้ดีได้รอดก็น้อยค่ะ เพราะฉะนั้น มองกลับมาที่ตัวเองด้วยนะคะว่าโอเคมั้ย เรื่องเวลาของพ่อแม่ไว้มาคุยกันคราวหน้า  หากมีตัวช่วย เช่น คุณตาคุณยายช่วยดูแลรับส่งให้ได้ในเวลาที่ติดธุระจริง ก็จะดีค่ะ

ในเมื่อเรายังไม่จ่ายค่าเรียน เราก็ยังเป็นต่อค่ะ request สิ่งที่ควรจะได้ตามสิทธิของลูกค้าก่อนจ่ายเงินเสมอ ถึงแม้จะไม่ได้อย่างที่ต้องการทุกอย่าง แต่ก็ให้ทางโรงเรียนหรือคุณครูรู้และเข้าใจสภาพของลูกเราค่ะ

นอกจากนี้ ต้องเตรียมทำใจกับเรื่องต่างๆ ที่ควบคุมไม่ได้ เช่น เพื่อนร่วมชั้นของลูกขี้แกล้ง งานด่วน ลูกงอแง

> วิเคราะห์พ่อแม่:  พ่อมันไปรับไปส่งได้ ไม่หงุดหงิดเวลานั่งคอยลูกเพราะมีพ่อๆคนอื่นมาเป็นเพื่อนคอยด้วย แม่มันเป็น sponsor จบ


คราวหน้ามาดูกันว่า ขนาดวิเคราะห์ความเป็นไปได้มาอย่างดี แล้วลูกมันไม่เอาจริงๆ พ่อแม่จะเตรียมรับมือยังไง

วันอาทิตย์ที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ถั่วน้อยในเขาวงกต

27 ม.ค. 2014
จริงๆกำลังจะปลูกผักกับฮั่นแบบ root view แต่ระหว่างรวบรวมอุปกรณ์ เลยได้ทำอันนี้แทนก่อน ใช้ขวดหรือถ้วยน้ำใสๆ จะดีมาก พอดีที่บ้านใช้ถ้วยAmazon เพราะมันแข็งหน่อย


1. ตัดก้นถ้วยไว้เป็นส่วนที่ใส่ดินกับเมล็ดถั่ว 
2. ตัดข้างถ้วย ประมาณค่อนถ้วย สับกันสองสามชั้น 
3.เอากระดาษแข็งหรือแผ่นพลาสติกมาตัดขนาดใหญ่กว่าปากถ้วยไว้เป็นที่คั้นแต่ละชั้น
4. เอาดินใส่ส่วนก้นถ้วย
5.เมล็ดถ่ัวเขียวแช่น้ำแล้วหนึ่งคืน มีรากโผล่แล้ว มาใส่ในถ้วยที่มีดินและโรยดินทับให้ทั่ว
6. นำส่วนบนของถ้วยมาประกอบร่าง
7. หากล่องกระดาษหรือซองจดหมายหรือกระดาษมาห่อถ้วยไว้ เพื่อป้องกันแสง
8. รดน้ำเช้าเย็น ตรงส่วนถ้วยที่มีดิน อาจจะเปิดที่กั้นออกแล้วใช้ฟอกกี้ฉีดน้ำเข้าไป อย่าเยอะมากเพราะน้ำอาจจะขังทำให้รากต้นถั่วเน่าได้
9. รอคอยและสังเกตการเติบโตของต้นถั่ว จะถั่วหาทางออกจากเขาวงกตได้


ตอนแรกที่ทำ ฮั่นยังไม่ค่อยสนใจ แต่พอเริ่มโต สูง มีรากให้เห็น แค่นี้ก็ช่วยกระตุ้นให้ลูกอยากรู้ต่อ เราได้เสริมความรู้เรื่องรากของต้นไม้ให้ลูกเข้าใจเล็กน้อย ส่วนความลับของต้นถั่วต้องอุบไว้ก่อน

เราทดลองทำ4-5 อัน บางอันต้นถั่วไม่โต บางอันโตแต่ยังหลงทางอยู่ มีอยู่สองต้นเป็นผู้ชนะเลิศ สามารถหาทางออกมาเจอโลกกว้างจนได้ กิจกรรมนี้เป็นการจำลองการเติบโตของเมล็ดพืชค่ะว่า ทำไมเมล็ดมันอยู่ใต้ดินลึกแค่ไหนก็สามารถโผล่พ้นดินมาโตเป็นต้นไม้ได้ เมล็ดพืชจะเดินทางตามหาแสงแดด ซึ่งเป็นปัจจัยหลักในการเติบโต นี่เป็นสาเหตุที่เราเอากระดาษมาห่อถ้วยให้มืดๆเอบไว้ค่ะ อีกเรื่องหน่ึงที่น่าสนใจคือ เด็กๆอาจจะนึกว่าต้นไม้มันอยู่กับที่ แต่จริงๆแล้วต้นไม้แม้จะเคลื่อนที่ไปไหนไม่ได้ แต่เคลื่อนไหวไปซ้ายขวาได้ค่ะ เหมือนต้นถั่วที่เลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาออกมาพ้นปากถ้วยนั้นเอง


กำลังคอยฮั่นกลับบ้านมา เตรียมตอบคำถามที่ฮั่นถามทุกวันว่าใครคือ winner  จะได้เฉลยความลับนี้หลังจากทดลองกันมาหนึ่งสัปดาห์ซะที
สนุกๆและมีสาระแบบ monkey corners ค่ะ

วันพุธที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

เด็กน้อยกับฝาอิชิตัน

ระหว่างน่ังรถไปทอดกฐิน เราน่ังดูดชาอิชิตันอยู่
ฮั่นถามว่า มามี้อยากมีทองเยอะๆ เป็นเศรษฐี อยากรู้มั้ยว่าต้องทำยังไง  
มามี้ ทำไงล่ะ
ฮั่น มามี้ก็กินอิชิตัน แล้วก็โทรศัพท์เยอะๆ ก็ได้ทอง
มามี้ แล้วถ้าไม่กินอิชิตันล่ะ ทำไงถึงจะรวย
ฮั่น มามี้ก็กินโออิชิ แล้วก็โทรศัพท์เยอะๆ ก็ได้ทอง รวยเป็นเศรษฐี
มามี้ ถ้าโทรไปก็จะได้ทองทุกคนหรอ
ฮั่น ใช่ ได้ทุกคน มามี้ต้องโทรเยอะ
มามี้ แล้วถ้าไม่กินทั้งสองอย่าง
ฮั่น ไม่รู้สิ งั้นโทรศัพท์ไปตดให้คนนั้นฟัง 555

จากนั้นก็เริ่มคุยกันว่า อะไรคือรวย รวยเป็นเศรษฐีมันดียังไง มีเท่าไรที่ฮั่นคิดว่ารวยเป็นเศรษฐี ทำไงถึงรวย  ฮ่ันให้คำตอบตามความคิดเด็กๆที่น่ารักผสมน่าเตะ (ประมาณรวยแล้วจะได้ซื้อของเล่นทุกอย่างที่อยากได้) เราได้เข้าใจว่าลูกคิดยังไงกับความร่ำรวย 



ระบบบริโภคนิยมและทุนนิยมมันสอดแทรกในชีวิตเราอย่างไม่รู้ตัว เด็กๆก็รับรู้ซึมชับไปด้วย ซึ่งเค้ายังอยู่ในวัยที่ไม่สามารถแยกแยะหรือคิดวิเคราะห์ถูกผิดได้ เช่น ฮั่นบอกเจลเล่มีประโยชน์ เพราะในทีวีบอกว่า มีวิตามิน คงเป็นหน้าที่พ่อแม่ท่ีต้องช่วยให้ความรู้และกลั่นกรองสื่อสำหรับเด็กอย่างใกล้ชิด คิดว่ากลับบ้านไปจะวางแผนกับพี่โหยวว่าจะสอนหรือต่อยอดเรื่องที่คุยยังไงต่อดี เพราะช่วงหลังฮั่นเริ่มโต และสามารถยกเหตุผลหรือข้ออ้างขำๆบ้าง น่าสนใจบ้างมาเชิญชวนแม่ให้ซื้อของเล่นให้ 
เช่น ซื้อเป็นคู่มันลดราคา หรืออยากซื้ออันนี้ให้มามี้แต่มามี้ซื้ออันนี้ให้ฮั่นด้วย หรือมาแนวเผด็จการเช่น จะถูกจะแพงมามี้ก็ต้องซื้อให้นะ  หลายเร่ืองที่ไม่รู้ว่าฮั่นไปความคิดน่ันมาจากไหน แต่เรื่องดีๆหรือเหตุดีๆที่ฮั่นใช้กับแม่มาจากหนังสือที่เราอ่านให้ฟังทุกวัน 

หวังว่า โตไปจะได้เป็นอนาคตชาติที่ไม่นั่งคอยจะรวยเพราะชิงโชคทองจากฝาน้ำชานะลูกรัก



เขียนเม่ือ 27 ต.ค.2013

วันจันทร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

เคล็ดลับการดูแลความปลอดภัยของลิงน้อยแบบแฮปปี้


คนจีนเชื่อกันว่า ยิ่งตกยิ่งโต  สำหรับคุณแม่หัวสมัยใหม่ลูกชายสองวัยซน (อย่างกะลิง) อย่างเราก็ยังเชื่อเช่นนั้นเหมือนกันค่ะ เราก็ไม่หวั่นและยังเต็มทีกับการที่จะให้ลูกได้สัมผัสและเรียนรู้โลกกว้างอย่างอิสระ แต่อยู่บนพื้นฐานแห่งความปลอดภัย เริ่มจากการเตรียมทั้งตัวและหัวใจกับเรื่องหวาดเสียว ปวดหัวใจ กับเรื่องเจ็บตัวของลิงน้อย โดยเฉพาะฮั่น (4ขวบครึ่ง) ลิงแสนซ่าซนผ่านการล้ม ชน ตก กระแทกมาไม่นับไม่ถ้วน และตอนนี้ ธัน (7เดือน) สมาชิกใหม่ของบ้านที่เริ่มฉายแววความซ่า ทั้งกระโดด คลานงับงับของ และลุยทุกพื้นที่ของบ้าน  เพื่อให้การยิ่งตกยิ่งโตเป็นไปอย่างราบรื่น ที่บ้านได้ตั้งกฏแห่งความปลอดภัยมา 4 ข้อ ดังนี้ค่ะ 


1)       เล่น-ลุย-ซนได้เท่าที่อยาก ถ้าไม่ได้อยู่ในที่หรือบริเวณที่เสี่ยงต่อการเป็นอันตราย หรือบาดเจ็บ
จัดบริเวณที่ลูกใช้ชีวิตประจำวัน และทำกิจกรรมต่างๆอย่างปลอดภัย รวมทั้งอุปกรณ์และของใช้ต่างๆ แยกบริเวณเล่นของคนพี่และคนน้องอย่างชัดเจน เพื่อไม่ให้เบบี้เป็นอันตรายจากของของคนพี่ ส่วนเบบี้ก็มีบริเวณส่วนตัวให้คลาน ให้เล่นและหยิบจับของเล่นของใช้ ไม่ให้พลาดการพัฒนา sensory อย่างปลอดภัย   นอกจากนี้ ทุกครั้งที่ออกนอกบ้าน เราก็ต้องหาข้อมูลของสถานที่ที่จะไปก่อน เพื่อให้สามารถแยกแยะจุดที่ไม่ควรให้ลูกไปเล่น รวมทั้ง survey พื้นที่รอบๆว่าให้มีสถานพยาบาลอยู่ใกล้ๆ โดยเฉพาะ เวลาออกต่างจังหวัด จะเลือกพักในย่านที่ไม่ห่างจากโรงพยาบาลมากนักค่ะ 


2)       เล่น-ลุย-ซนได้ทุกท่าทุกเวลา ถ้าไม่ทำให้ตัวเองและผู้อื่นเจ็บตัวหรือเป็นอันตราย
สำหรับเจ้าลิงตัวโต เราใช้การสอนเรื่องความปลอดภัยผ่านนิทานและหนังสือ โดยจะพูดคุยตกลงกับลูกถึงสิ่งที่ทำได้และทำไม่ได้ล่วงหน้า เพื่อให้เข้าใจตรงกันเป็นกฎในการเล่น-ลุย-ซน  จะพูดคุยกันถึงผลเสียจากสิ่งที่ไม่ควรทำจริงๆ โดยไม่มีการหลอกหรือขู่ให้กลัว บางครั้งอาจต้องปล่อยให้ลูกเจ็บตัวบ้าง (แต่อยู่ในขอบเขตที่พ่อแม่ดูแลได้) เพื่อให้เกิดการเรียนรู้และจดจำในสิ่งที่ไม่ควรทำ ครั้งหนึ่งฮั่นละเลยไม่ยอมนั่งบนคาร์ซีทแล้วเกิดรถเบรคกระทันหันทำให้ฮั่นกระแทกกับเบาะรถ จากนั้นมาฮั่นก็นั่งคาร์ซีททุกครั้งที่ขึ้นรถโดยไม่ต้องบอกเลยค่ะ 


3)       รักษาสุขภาพและพร้อมรับมือเหตุที่ไม่ขาดคิดเสมอ เพื่อเป็นรากฐานของการใช้ชีวิตอย่างปลอดภัย 
เด็กเล็กที่มีพัฒนาการทางร่างกายไม่สมบูรณ์ มีโอกาสที่จะเกิดอุบัติเหตุได้ง่ายกว่า จึงจำเป็นมากที่จะต้องใส่ใจให้ลูกได้ทานอาหารที่มีคุณค่า ออกกำลังกายกล้ามเนื้อมัดเล็กมัดใหญ่ให้มีพัฒนาการที่ดี สมบูรณ์ตามวัย  


4. เตรียมการพร้อมสำหรับเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึง 
แต่หากเกิดอุบัติเหตุจริงๆ แม่ก็สามารถแปลงร่างเป็นโดเรมอนอย่างเราก็จะมีกระเป๋าวิเศษติดตัวตลอดเวลา (ยังมีเก็บไว้ตามห้องต่างๆ และบนรถ) พร้อมจะควักยาหม่องและพลาสเตอร์ติดแผลลายการ์ตูนน่ารักๆ  มาปฐมพยาบาลลูกได้อย่างทันท่วงที 
เล่น-ลุย-ซน ได้อย่างปลอดภัยทุกทีทุกเวลาค่ะ