วันจันทร์ที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2557

ทานตะวันกล้าหาญ รุ่นบุกเบิก

ทานตะวันกล้าหาญ รุ่นบุกเบิก 


แม้เธอจะไม่สวย ไม่โตสูงใหญ่ และดูไม่เหมือนกับสิ่งที่เธอควรจะเป็น แต่เธอก็สามารถอดทน ฝ่าฟันลมฟ้าอากาศ มุ่งมั่นตั้งใจ และยืนหยัดที่จะเติบโต จนในวันนี้ เมื่อเธอแย้มบานอย่างกล้าหาญ และเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ ไม่มีสิ่งใดที่เธอต้องกลัวหรือเสียใจที่ไม่เป็นไปตามแบบแผน เธอเป็นตัวเธออย่างสมบูรณ์แบบ
ฉันภูมิใจในตัวเธอมาก รักและเคารพในสิ่งที่เธอเป็น ก่อนพายุฝนจะมา ฉันขอเก็บรูปของเธอไว้ในวันที่เธอสวยงามที่สุด 
29-4-2014 ดาดฟ้า 

รีวิวหนังสือ: เล่นเป็นเด็ก เรียนรู้การฝึกสติอย่างเป็นธรรมชาติ +CD

เล่นเป็นเด็ก เรียนรู้การฝึกสติอย่างเป็นธรรมชาติ +CD

คู่มือฝึกสติสำหรับเด็กตามแนวทางของติช นัท ฮันห์ ที่สมบูรณ์ที่สุด และปฏบัติตามได้ง่ายๆ

           

ข้อมูลหนังสือ

ผู้เขียน    ติช นัท ฮันห์

ผู้แปล     ธิติมา อุรพีพัฒนพงศ์ภิกษุณีรัตนกัลยา

จำนวนหน้า            256 หน้า

สำนักพิมพ์             : มูลนิธิหมู่บ้านพลัม

เดือนปีที่พิมพ์        : 4/2013

Description: Description: http://www.booksmile.co.th/images/catalog_images/1369047573.jpg


คำชวนอ่าน (ปกหลัง)

เราเข้าไปในพื้นที่ของเด็กๆ และเป็นส่วนหนึ่งในวงล้อมของพวกเขาโดยไม่ต้องออกคำสั่งใดๆ และไม่บังคับว่าจะต้องมีอะไรเกิดขึ้น เพราะมีพื้นที่และเวลามากมาย และไม่ต้องเร่งรีบ จากนั้น ยิ้ม หัวเราะ แบ่งปัน เริ่มต้นช้าๆ แล้วทุกสิ่งจะไหลไปตามธรรมชาติเอง

 

เล่น เป็น เด็ก.. คู่มือมือฝึกสติสำหรับเด็กตามแนวทางของติช นัท ฮันห์ ที่สมบูรณ์ที่สุด และปฏบัติตามได้ง่ายๆ หนังสือเล่มนี้นำเสนอกิจกรรมต่างๆที่จะช่วยลดทอนความเครียดของทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ทำให้พวกเขามีสมาธิและความมั่นใจมากขึ้น รับมือกับอารมณ์ที่ยากลำบาก และช่วยพัฒนาการสื่อสารให้ดีขึ้นได้

 

คู่มือการสอนการภาวนาการฝึกสติสำหรับเด็กๆ อย่างเป็นธรรมชาติตามแนวทางหมู่บ้านพลัม ในเล่มประกอบด้วย แนวทางการดูแลตนเองของครู ผู้ปกครองที่จะต้องทำงานกับเด็กเกมส์และสื่อการสอนและรายละเอียดเพื่อฝึกสติร่วมกับเด็กๆ ได้อย่างสนุกสนานและมีชีวิตชีวา ท้ายเล่มมีเนื้อเพลงภาวนาตามแนวทางหมู่บ้านพลัมพร้อมคอร์ดกีตาร์ –Se Ed

 

รูปแบบการนำเสนอ

หนังสือแบ่งเป็นออกเป็นบทๆ ร้อยเรียงเรื่องราวของหมู่บ้านพลัม มีเนื้อหาสลับกับการยกตัวอย่าง มีข้อคิดสลับกับความคิดเห็นของเด็กและผู้คนที่ผ่านเข้ามาในบริบทของการภาวนาและทำสมาธิภายในหมู่บ้านพลัม มีกิจกรรม หรือเกม หรืองานศิลปะสำหรับเด็ก และบทเพลงประกอบ

หนังสือแบ่งออกเป็นบทๆ ดังนี้

1. สติจะช่วยเราได้อย่างไร

2. ฝึกปฏิบัติกับเด็กๆ ที่หมู่บ้านพลัม

3. บ่มเพาะสติของเรา

4. หายใจอย่างมีสติและฟังเสียงระฆัง

5. ทำสมาธิ: ฉันเป็นอิสระ

6. เสริมสร้างความสัมพันธ์ต่อกันและต่อโลก

7. ความเข้าใจแล้วความกรุณา

8. เกมเพื่อสร้างความสัมพันธ์และกิจกรรมที่เบิกบานกับธรรมชาติ

9. โอบรับความทุกข์ ความสุขเบ่งบาน

10. ห้องเรียนแห่งรัก: การเยียวยาความยากลำบาก

11. ทุกสิ่งล้านเชื่อมโยงกัน ทุกสิ่งดำเนินต่อไป

 

ความเห็นส่วนตัว

ตอนแรกเห็นชื่อหนังสือที่หน้าปก (เฉพาะชื่อจริงๆ ไม่ได้อ่านปกหลังหรืออะไร) ก็อยากอ่านเลย เพราะคิดว่าต้องมีกิจกรรมดีๆ สนุกๆ มาเล่นกับลูกแน่ๆ แต่ไม่ได้คิดว่าจะเป็นเรื่องของการฝึกสติ  แม่ Hyper ผู้ไม่ค่อยมีสติ ชอบทำสามสี่อย่างในเวลาเดียวกัน เมื่อเริ่มอ่านเนื้อหาด้านในก็เริ่มเหวอ นิดหน่อย เฮ้อ นั่งสมาธิด้วยตัวเองยังทำไม่ได้เลย แล้วจะฝึกลูกยังไงล่ะเนี่ย คิดสภาพไม่ออกเลย คงไม่ไหวแน่ๆ แต่ก็ลองดู เริ่มอ่านไปเรื่อยๆ ก็เริ่มพบว่า การถ่ายทอดเรื่องสติ สมาธิให้กับเด็กๆ ไม่ใช่เรื่องยากที่เป็นไปไม่ได้ แถมกลับกลายเป็นเรื่องสนุกได้ด้วยอย่างที่เราคิดไม่ถึง

 

ท่านติช นัท ฮันห์ได้ถ่ายทอดประสบการณ์ตรงที่ได้ฝึกเด็กๆ ปฏิบัติธรรมที่หมู่บ้านพลัมที่ฝรั่งเศส แทรกด้วยคำสอน ความคิดเห็นของเด็กๆ นักบวช ผู้ปกครองอื่นๆ ที่มีต่อการปฏิบัติธรรมตามสไตล์หมู่บ้านพลัม ได้พบว่าเด็กๆเข้าใจและสนุกเพลิดเพลินไปกับการทำสมาธิโดยไม่รู้ตัว ผ่านการใช้อุปกรณ์ง่ายๆ ทำศิลปะ หรือผ่านเสียงเพลง เสียงระฆัง กิจกรรมส่วนใหญ่เป็นกิจกรรมกลุ่มเป็นหลัก ด้วยเด็กๆที่มาที่หมู่บ้านพลัมมีจำนวนมากและคละอายุอีกด้วย ในแต่ละกิจกรรมได้สอดแทรกคำสอนและปลูกฝั่งความงามในจิตใจของเด็กๆ ดังเช่นชื่อหนังสือภาษาอังกฤษที่ว่า “Planting seeds” เด็กๆที่ไม่นิ่งก็สามารถฝึกสมาธิ ภาวนา กำหนดลมหายใจ ระลึกรู้ความรู้สึกของตนได้ด้วยกลยุทธการเล่น  เราชอบกิจกรรม ร่างที่สอง เป็นการฝึกให้เด็กรู้จักการใส่ใจผู้อื่น ขอไม่อธิบายเพราะอยากให้คนที่สนใจอยากไปหาอ่านดูเอา  

 

ได้ทดลองหยิบบางกิจกรรมเรื่องการทำสมาธิ รู้ลมหายใจเข้าออก มา adapt เล่นแบบเดียวๆ กับฮั่นดู ให้ฮั่นนอนราบหายใจเข้าให้ขอบคุณอวัยวะของตัวเอง และให้บอกด้วยว่าขอบคุณเรื่องอะไร  พอหายใจออกก็ให้ขอบคุณอีกเรื่องหนึ่ง  ก็อาจจะไม่ได้เรื่องสมาธิมากนัก แต่คุณลูกก็สนุกสนานมาก พูดขำฮาตลอด มีพูดขอบคุณตดตัวเอง ตลกกันไปตามประสาแม่ลูกแบบเบาๆ ก่อนเข้านอน

 

ตอนอ่านไปเรื่อยๆ ก็เพิ่งสังเกตว่า หนังสือมันมีซีดีเพลงที่ใช้ประกอบกิจกรรมนี่นา แล้วมันหายไปอยู่ที่ไหน เกือบทุกกิจกรรมจะมีเพลงประกอบ ได้แต่อ่านเนื้อเพลงก็รู้สึกได้ถึงความอ่อนโยน เมตตา และสงบสุข เหมาะแก่การเอามาสอนลูกหรือให้ลูกฟังมาก พาไปถามหาซีดีกับคุณสามี โดนตอบกลับมาว่า ก็เคยเปิดบนรถ แล้วเธอบอกว่าน่ากลัว” อึ้งเลยเรา ก็แหม ตอนนั้นยังไม่รู้ว่าเป็นเพลงสำหรับทำสมาธิ มันก็บรรเลงช้าๆโหยหวนเล็กน้อย ไม่เหมาะแก่การนั่งฟังบนรถ กลัวคนขับหลับ  วันรุ่งขึ้น คุณสามีเลยเปิดให้ฟังในรถมันเลย ได้มาฟังอีกที เพลงเพราะดีออก แถมช่วยสร้างบรรยากาศของความสงบ ตั้งใจว่า จะเอาไว้เปิดให้ฮั่นธันฟังก่อนนอนน่าจะดี

 

 

ระดับความน่ามีครอบครอง

เล่มนี้เหมาะสำหรับพ่อแม่ท่านไหนที่กำลังมองหาวิธีการสอนลูกให้รู้จักการทำสมาธิที่สนุกได้ตามธรรมชาติเด็ก ก็ขอแนะนำเลยค่ะ เพราะไม่เคยเห็นหนังสือเล่มไหนนำเสนอวิธีแบบนี้เลยค่ะ ผู้ใหญ่เองก็สามารถนำมาประยุกต์ใช้เพื่อสอนตัวเองทำสมาธิได้ค่ะ 

วันศุกร์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2557

Review หนังสือ พ่อแม่ เต้า เต๋อ จิง คำสอนเก่าแก่ สำหรับพ่อแม่ยุคใหม่

พ่อแม่ เต้า เต๋อ จิง คำสอนเก่าแก่ สำหรับพ่อแม่ยุคใหม่

PARENT’s TAO TE CHING  Ancient advice for modern parents
           

ข้อมูลหนังสือ
ผู้เขียน    วิลเลียม มาร์ติน
ผู้แปล     ถิง ชู และ วิจักขณ์ พานิช
จำนวนหน้า            193 หน้า
สำนักพิมพ์             : ปลากระโดด
เดือนปีที่พิมพ์        : 9/2013

คำชวนอ่าน (ปกหลัง)
ฉันมอบ พ่อ แม่ เต้า เต๋อ จิง ให้เพื่อนทุกคนที่มีลูก เพื่อเป็นข้อเตือนใจว่าอะไรคือสิ่งสำคัญยามต้องเลี้ยงดูชีวิตน้อยๆ
โอปราห์ วินฟรีย์

พ่อแม่ทุกคนควรมีหนังสือเล่มนี้ไว้ที่หัวเตียง เพื่อเอาไว้อ่านและอ่านซ้ำ ยามที่พวกเขาต้องเผชิญกับสภาพเป็นจริงอันปั่นป่วนสับสนของชีวิตครอบครัว
เวอร์จิเนีย บีน รัทเทอร์ นักจิตวิเคราะห์สายยุงเงียน และผู้เขียน Celebrating Girls: Nurturing and Empowering Our Daughters


รูปแบบการนำเสนอ
เรียบง่ายตามสไตล์เต๋า บทละเพียงสองหน้า หรือประมาณ 20 บรรทัด บรรจุคำคมที่อ่านแล้วโดนใจและเตือนใจคนเป็นพ่อเป็นแม่ ให้กลับไปมาอยู่กับปัจจุบัน เลี้ยงลูกอย่างเรียบง่าย 


ความเห็นส่วนตัว
เล่มนี้คุณสามีมานำเสนอเราให้อ่านด้วยตัวเอง พร้อมอวดสรรพคุณว่า " นี่เล่มนี้ โอปราห์ ยังอ่านเลย มันเจ๋งมาก สั้นๆแต่คม สรุปความเป็นพ่อแม่ไว้หมดเลย" แล้วก็ยกบางบทมาอ่านให้ฟัง โฆษณามาขนาดนี้แล้ว ไม่อ่านคงจะไม่งามแน่

เช้าวันเสาร์ที่ผ่านมา ต้องออกจากแต่เช้ามากเข้าเมืองไปอบรม ประมาณว่าคงถึงที่อบรมก่อนเวลาประมาณ 2ชม สามีบอกแกมส่ังว่า "หาหนังสือไปอ่านด้วย" โอเคงั้นหยิบเล่มนี้ละกัน

ได้ที่เหมาะๆ เย็นๆ สงบๆ ในซอยทองหล่อยามเช้า (7โมงกว่า) นั่งอ่านไปไม่ต้องลองคิดตาม เพราะเห็นด้วยกับแนวทางทั้งหมดเลย เพราะเป็นรูปแบบของการเป็นพ่อเป็นแม่ที่เรากับคุณสามีกำลังปฏิบัติกันอยู่  มีหลายบทที่ทำให้เรารู้สึกว่าเราเข้มงวด บงการ หรือเพิ่มความสับสนในชีวิตกับลูกมากเกินพอดีหรือเปล่า (จากบทที่48 ยิ่งน้อย ยิ่งมาก  Less is more) เด็กเองก็ต้องการช่วงว่างของตัวเองเพื่อที่จะได้พัก ได้คิดอย่างอิสระ ปล่อยใจไปตามธรรมชาติ เราก็มักเห็นว่า ตอนลูกว่างๆ ไม่ได้ทำอะไร มันช่างใช้เวลาไม่คุ้มค่าจริงๆ เราหลงลืมไปว่า บทบาทความเป็นพ่อแม่ มิใช้ควบคุมหรือเป็นเจ้าของชีวิตของลูก ดังบทหนึ่งได้กล่าวเริ่มต้นว่า
พ่อแม่ที่ชาญฉลาดปล่อยให้สิ่งต่างๆคลี่คลาย
ด้วยการเข้าไปก้าวก่ายให้น้อยที่สุดเท่าที่เป็นไปได้

ยังมีอีกบทที่คิดว่าตรงกับชีวิตพ่อแม่ในปัจจุบัน
เป็นปรัชญาที่แฝงข้อคิดมากมายแต่เข้าใจและเข้าถึงได้ไม่ยาก 

แบบอย่างความพึงพอใจ 


หนังสือไม่ได้เน้น How to ว่าพ่อแม่ต้องทำอย่างไร  แต่เน้น ให้ข้อคิด แนวทาง ให้เห็นภาพและเตือนสติให้พ่อแม่มุ่งตรงสู่สายกลาง ข้อคิดนั้นสามารถปรับใช้กับลูกได้ตั้งแต่เกิดยันโต ส่วนการนำมาประยุกต์ใช้กับชีวิตจริงนั้น ยากหรือง่ายขึ้นกับสไตล์การเป็นพ่อแม่ของแต่ละครอบครัว
เป้าหมายหลังจากได้อ่านเริ่มนี้คือ จะพยายามดำรงตัวให้ได้เป็น พ่อแม่ เต้า เต๋อ จิง เต็มตัว  ตั้งใจ และมุ่งมั่น 
ป.ล. รีวิวสั้นนิดหน่อยแต่ได้ใจความ ตามสไตล์เต๋อ

ระดับความน่ามีครอบครอง

ชอบค่ะ ควรมีติดหัวเตียงไว้อ่านจริงๆ จัดไป
กะจะไปหา version English มาอ่านดู ใครสนใจลองไปข้างในหนังสือ ได้ที่ link นะคะ

วันพุธที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2557

ทริป2013 ห้องอ. 1/3 เริ่งร่าที่ เบิกบานบุรี –ศิลปะแห่งความสุข


ออกเดินทาง 10-11 ส.ค. 2013


เป็นที่เรียกร้องกันมาก ว่าอยากไปเบิกบานบุรี หลังจากไป survey ทริปเดินป่ามากับอีกกลุ่มหนึ่งก็ชอบมาก เลยขอจัดกลุ่มไปเองอีกรอบกับพวกเพื่อนๆฮั่น  เราติดต่อกับพี่จา เบิกบานบุรีเพื่อจองล่วงหน้านานที่เดียวค่ะ ช่วงเดือนที่ได้ไปคือเดือนส.ค. ซึ่งพี่จาแจ้งว่า สามารถรวมทริปศิลปะแห่งความสุขกับการปลูกข้าวได้ เพราะเป็นหน้าน้ำ พอในกลุ่มตกลงวันได้ก็จองทันที เด็กๆและพ่อๆแม่ๆ ก็ตื่นเต้นรอวันไปกันที่เดียวเชียว

 

ทริปนี้ รวบรวมได้ทั้งหมด 15 บ้าน แต่วันจริงไปไม่ได้ 2 บ้าน เหลือ 13 บ้าน รวมแล้วมีเด็กทั้งหมด 19 คน ผญ 32 คน  

 

ถึงวันเดินทาง แต่ละบ้านแกะแผนที่และข้อมูลบอกวิธีการเดินทางอันแสนละเอียดที่เบิกบานบุรีให้ไป ทยอยกันมาที่ละบ้าน แต่ละบ้านก็มารับกุญแจบ้าน พร้อมถ่ายรูปครอบครัว หน้าตาfresh fresh กันก่อน  เก็บสัมภาระเสร็จก็มารวมตัวกันที่ศาลาประชุม  



ถ่ายรูปครอบครัว


ที่พักในเบิกบานบุรี แบ่งเป็นที่เป็นบ้านพัก กับเต้นท์  เราไปกัน พักบ้านพักทั้งหมด 9 หลัง และที่เหลือนอนเต้นท์ 5 เต้นท์  เต้นท์จะกางอยู่บนอาคารยาวริมลำธาร อากาศดี มีห้องน้ำรวมในอาคาร และที่สำคัญมีชั้นหนังสืออ่านเล่นที่เด็กๆชอบมาก ในเต้นท์มีเบาะนอนและชุดเครื่องนอนเหมือนในบ้านพัก  สำหรับบ้านพัก นอนได้ตั้งแต่ 2-5 คนเลย นอนเบาะ มีห้องน้ำส่วนตัว ตกแต่งได้เก๋เป็นธรรมชาติมาก มีผงถั่วเขียวไว้ล้างหน้า เก็บรายละเอียดในการสร้างที่พักและเบิกบานบุรีอย่างเป็นมิตรกับธรรมชาติ รวมทั้งวิถีการกิน การอยู่ภายในเบิกบานบุรีก็เช่นกัน ตั้งแต่อาหารการกิน เครื่องใช้ภายในห้อง น้ำสมุนไพร แม้แต่ขยะก็นำมาใช้เป็นประโยชน์ได้  (ดูรายละเอียดwww.burgbarnburi.com)

เรือนสำหรับกางเต้นท์

 กางเต้นท์นอนสบาย

ชบากะธันธัน

กิจกรรมแรก เป็นการเปิดต่อมเบิกบาน เมื่อทุกคนมารวมกันครบที่ศาลาเบิกบาน แม่จากล่าวต้อนรับทุกครอบครัวเข้าสู่เบิกบานบุรีอย่างเป็นทางการ แม่จาก็ให้แบ่งกลุ่มออกเป็นสองกลุ่มเพื่อทำกิจกรรม ปั้นดิน กับปั้นงานเซรามิกส์  บ้านเราได้ปั้นดินก่อน ได้ไดโนเสาร์ เรือรบและถ้วยน้ำกันมา พอเสร็จก็ไปทำแก้วเซรามิก เนื่องจากเวลาจำกัด ที่เบิกบานบุรีเตรียมปั้นแก้วไว้แล้ว พวกเราเลยได้เริ่มทำกันตอนลงสี มีถังสีอยู่สามสี ชุบๆราดๆ มั่วๆ แล้วเอาไปตากไว้ ทีมงานจะให้เขียนชื่อไว้ตรงก้น เมื่อแห้งจะนำไปเข้าเตาเผา วันรุ่งขึ้นก็สามารถนำกลับบ้านไปใช้ได้ ทำเสร็จก็ไปกินข้าวกลางวันกัน


แต่ละบ้านจะได้อาหารบ้านละปิ่นโต ใครไม่อิ่มมีกับให้เพิ่มตลอด แต่ที่เด็กๆชอบมากคงจะเป็นซุปมิโซะที่เติมได้เรื่อยๆ กินเสร็จแล้ว ก็ต้องล้างจานเองอย่างเบิกบานในครัว ชวนลูกไปล้างไปเก็บจาน 

ช่วยกันล้างจาน

กินอิ่มก็ไปทำกิจกรรมกันต่อ เป็นฐานกิจกรรมครอบครัว สนุก ผ่อนคลายกับวิถีสีเขียว” เริ่มจากทำสปามือและเท้าจากน้ำสมุนไพร จากนั้นก็แบ่งออกเป็นสองกลุ่ม เพื่อทำน้ำยาชีวภาพกับผงถั่วเขียว เด็กๆ ได้รวมลงมือทั้งปั่นถั่ว ตักผงถั่ว วาดรูประบายสีถุงกระดาษสำหรับใส่ผลงานกลับบ้านไปใช้   อีกกลุ่มก็จะพาเด็กๆไปทำงานศิลปะ เป็นหุ่นเชิดละครเงา ฮั่นเลือกทำเป็นแมงมุม เมื่อเสร็จแล้ว อีกกลุ่มก็มาทำกิจกรรมสลับกัน

อากงพาทำน้ำยาชีวภาพ

เด็กๆตักผงถั่วเขียวใส่ขวด

 ทำหุ่นเงา
ไอ้แมงมุม

บ่ายแก่ๆเริ่มไม่ร้อน พวกเราก็มาลงนากัน เด็กๆได้รู้จักกล้าข้าว และได้ดำนากัน เด็กบ้างคนกลัวไม่กล้าเหยียบดิน แต่พอเห็นเพื่อนๆลงไปเล่นกันก็ยอมลุยโคลนกันสนุกสนาน ดำนาเสร็จ ฮั่นก็ประเดิมสไลเดอร์ดินตามหน้าที่เจ้าภาพ แล้วเด็กๆแต่ละคนก็เริ่มสไลด์กันอย่างเมามันส์ เล่นน้ำเย็นๆ ล้างตัวกันอย่างสนุกสนาน  

ดำนา


สไลด์โคลน

อาหารเย็นของวันนี้ เป็นปลาดุกย่างแสนอร่อยกับกับข้าวอีกหลายอย่าง แต่ละบ้านนั่งปูเสื่อกินกันอย่างเพลิดเพลินหลังจากเหนื่อยมาจากกิจกรรมทั้งวัน กินเสร็จ เรามารวมกลุ่มกันที่ลานกิจกรรม แม่จากับพ่อไก่ ฉายสไลด์ความเป็นมาของเบิกบานบุรี จุดเปลี่ยนของครอบครัวที่หันกลับมาสู่ธรรมชาติเพื่อให้ลูกได้มีชีวิตที่ดีกว่า จากนั้น ก็เป็นกิจกรรม ครอบครัวผลัดกันเล่น ผลัดกันชม ละครเงา” แม่จาก็ให้พวกเราแบ่งเป็นสองกลุ่ม เพื่อนำหุ่นเชิดที่ทำกันเมื่อบ่ายมาสร้างเป็นละครเงา เด็กๆได้มีส่วนร่วมในละครเงาสั้นๆ ผลัดกันดูผลัดกันชมอย่างสุขใจ พอเล่นเสร็จฝนก็ตกลงมา เลยอดทำกิจกรรมต่อ พ่อไก่อุตสาห์ตั้งเครื่องเสียงจะร้องเพลงโชว์ซะหน่อย แต่ไม่เป็นไร เด็กๆเริ่มเหนื่อยกันแล้ว จึงแยกย้ายกันไปนอน คืนนั้นนอนกันเย็นสบาย ฟังเสียงกบร้องทั้งคืน

 

เช้าวันอาทิตย์ หลังอาหารเช้าและล้างจานเรียบร้อย พวกเรามารวมกันที่ศาลาเบิกบาน เริ่มกิจกรรมแรกด้วยการ ยืดเส้นยืดสายสร้างสุขยามเช้า กิจกรรมครอบครัว จากนั้น พวกเราก็ถูกแบ่งเป็นสองกลุ่ม กลุ่มแรก ให้ผู้ปกครองหนึ่งคนพาเด็กไปทำกิจกรรมสำรวจธรรมชาติและงานศิลปะกับพ่อไก่  ส่วนอีกกลุ่ม ผู้ปกครองอีกคนก็อยู่ทำกิจกรรมคืนความสุขให้ชีวิต” กับพี่จา  พวกเราได้รับความรู้เกี่ยวกับการทำงานของสมอง และนำไปสู่กิจกรรมที่ทำให้เรากลับได้รู้จักตัวเอง รับฟังและมองคนรอบข้างมากขึ้น เป็นช่วงเวลาที่ดีที่ทำให้เราสงบและกลับมาคิดว่าจะทำยังไงให้ครอบครัวอยู่กันอย่างมีความสุขแบบพอดี

  บรรยากาศรอบๆ

จากนั้นก็ทานอาหารกลางวัน กิจกรรมช่วงบ่าย ก็สลับผู้ปกครองมาทำกิจกรรมกับแม่จา ส่วนเด็กๆก็ไปประดิษฐ์ของเล่น เมื่อเสร็จก็รวมกลุ่มกัน พอดีในช่วงที่เราไปเป็นวันแม่ ทางเบิกบานบุรีได้จัดงานวันแม่เล็กๆ เด็กๆนำการ์ดที่ตัวเองทำและดอกไม้มาให้คุณแม่ จากนั้นก็มีการมอบดอกไม้ให้กับตัวแทนกลุ่มเรา ก็คืออากงอาม่าของใบบอน ปิดกิจกรรมของทริปนี้อย่างอบอุ่นและมีความสุขแบบครอบครัวจริงๆ

การ์ดรูปแม่ 

 

เป็นทริปสั้นๆ ที่มีสาระ เพิ่มพลังให้กับคนเป็นพ่อเป็นแม่ให้กลับมามีกำลังใจในการสร้างครอบครัวที่อบอุ่นและเข้าใจกัน เด็กได้สนุกและเรียนรู้เรื่องรักษ์สิ่งแวดล้อมและธรรมชาติอย่างไม่รู้ตัว  สนุกและมีความสุขอย่างเพียงพอจนทุกคนเรียกร้องให้จัดไปที่เบิกบานบุรีอีก แล้วเจอกันเร็วๆนี้นะเบิกบานบุรี



วันจันทร์ที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2557

ทริปห้องสามสาย ท่องทะเล ณ อ่าวมะนาว

ทริปห้องสามสาย ท่องทะเล ณ อ่าวมะนาว
ออกเดินทาง 14-16 ก.พ.

ตั้งแต่ฮั่นอยู่ ห้อง อ.1 พวกพ่อๆแม่ๆ ก็จะจัดไปเที่ยวกันมาตลอด แม้ว่าพอขึ้น อ.2 เราจะโดนแยกห้องกันไปเป็นสามห้อง กลายเป็นห้องสามสาย (อ.1/3 ปี 2555) (สามสายมาจาก ห้องสายธาร สายรุ้ง และสายหมอก) แต่ก็ยังรักกันเหนียวแน่น ว่างั้นเถอะ จากปีก่อนทริป Jim Thompson ที่เราจัด (ไว้จะมารีวิวให้ย้อนหลัง) แต่ละบ้านก็บ่นอยากจะไปเที่ยวทะเลกัน งานนี้แม่ออน-น้องปราง จัดให้ สรุปห้องสามสายก็ไปอ่าวมะนาวกัน รวมกันไปทั้งหมด ครอบครัว

ข้อมูลที่พักและสถานที่ท่องเที่ยวมาจากแม่ออนเลย รวมทั้งแม่ออนจัดโปรแกรมเที่ยวให้ จองที่พัก และร้านอาหาร ประสานงานเจ้าหน้าที่ทุกสิ่งอย่าง ทำให้พวกเรามีทริปสนุกๆ ขอขอบคุณและขอยกเครดิตให้แม่ออนครับ



สำหรับบันทึกเที่ยวกับลูกของทริปนี้ ในแต่ละวัน ก็มีดังนี้
วันศุกร์ 14 หลังจากขับรถมานาน ก็เข้ามาสู่เขตอ่าวมะนาวของกองบินที่ 5 ของแท้ก่อนถึงโรงแรมต้องผ่านลานบิน  ลิงน้อยนั่งรถมานาน เริ่มงอแงนิดหน่อย มีเล่นกันบน car seat จริงๆไม่ควร แต่ปล่อยให้เล่นแป๊บเดียวคลายเมื่อยเสร็จแล้วก็จับมานั่ง car seat เหมือนเดิม

เพราะมากันเลท ก่อนจะเช็คอิน ก็เลยไปนัดรวมพลกันก่อน ที่แรกก็คือ ศาลเจ้าพ่อเขาล้อมหมวก อยู่ภายในกองบิน และดูลิงค่างแว่น ลิงประจำถิ่น มาไหว้ศาลกันก่อน เด็กๆดูลิงกันอย่างสนใจ แต่ทำไมลูกชั้นดันเล่นแต่กับหุ่นกระต่ายอย่างสนุกสนานไม่เข้าใจ

มั่วแต่เล่นกระต่าย ลิงหนีขึ้นต้นไม้หมดแล้ว

ประวัติศาลเจ้าพ่อเขาล้อมหมวก - ตามตำนานที่เล่าขานสืบต่อกันมาตั้งแต่ครั้งบรรพกาล ท่านเป็นชาวจีนแผ่นดินใหญ่ เดินทางโดยเรือสำเภา มาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร ในสมัยกรุงศรีอยุธยา   เมื่อมาถึง ณ แผ่นดินแห่งนี้ ท่านได้สร้างหลัก ปักฐานและสร้าง คุณงามความดีอย่างยิ่งยวดให้กับแผ่นดินและประชาชนจึงเป็นที่ เคารพนับถือของคนทั่วไปตราบสิ้นอายุขัย ได้ประมาณ 97 ปี  ด้วยพระบารมีแห่งความดีของท่าน ที่ได้สั่งสมไว้ครั้งยังมีชีวิตอยู่ ได้ส่งผลให้ดวงวิญญาณ สิงสถิตเป็นเทพมเหสักข์ ณ เขาล้อมหมวกแห่งนี้ ช่วยดลบันดาล ประทานพรความสุข ความเจริญ ให้สรรพสัตว์ ตราบชั่วนิรันดร์  ชาวกองทัพอากาศและขาวเมืองประจวบฯ เชื่อว่าเจ้าพ่อมีความศักดิ์สิทธิ์ และได้ปกป้องคุ้มครอง ชาวกองทัพอากาศและชาวเมืองประจวบฯ ตลอดจนผู้เคารพสักการะให้แคล้วคลาดปราศจาก ภัยพิบัติและวิกฤตการณ์แลวร้ายต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ใกล้ศาลเจ้าพ่อเขาล้อมหมวก จะมีทางเดินขึ้นพิชิตยอดเขาล้อมหมวก เพื่อสักการะรอยพระพุทธบาทจำลองซึ่งสร้างแต่สมัยรัชกาลที่4 ประดิษฐานบนยอดเขาล้อมหมวก
จากนั้น พวกเราก็กลับไปยังโรงแรมชื่อฟ้าชมคลื่น มีสองตึก ระหว่างตึกจะเป็นที่พักประเภททาว์นเฮ้าส์และบ้านพักสำหรับ 6-12 คนขึ้นไป  มีห้องหลายประเภทแล้วแต่ขนาดของครอบครัว ราคาย่อมเยาว์มาก วิธีการจองต้องโทรจองที่โรงแรมล่วงหน้าหนึ่งเดือน กรณีมาเป็นหมู่คณะก็ต้องทำเรื่องไปทางโรงแรมล่วงหน้าเช่นกัน รายละเอียดห้องพักและสิ่งอำนวยความสะดวกดูได้จาก  www.aomanao.com  ตึกใหม่จะมีห้อง pool villa เป็นห้องติดกับสระว่ายน้ำ อยู่ 4 ห้อง ถูกพวกเราจับจองกันหมด บ้านเราขอเป็นห้อง Deluxe อยู่ชั้นบนสุด ห้องกว้างขว้าง สะอาด วางเบาะเสริมสำหรับเด็กน้อยแล้วยังมีที่วิ่งเล่นอีก



แดดร่มลมเย็น เด็กน้อยไม่รอท่า ลงมาเล่นน้ำกันสนุกสนาน หาดทรายที่นี้สะอาดมาก ไม่ได้เห็นหาดอย่างนี้มานานมาก สามารถปล่อยเจ้าตัวเล็กเล่นทรายได้อย่างไม่กังวลว่าจะไปเจอขยะ หรือเศษแก้วใดๆ ลมทะเลพัดตัวก็ไม่เหนียว น่าแปลกจริงๆ
สระว่ายน้ำเป็นน้ำเกลือ แต่ตรงส่วนที่เป็นสระเล็กมีน้ำวนเหมือน Jacuzzi อันนี้เหมือนจะมี chlorine เด็กๆลงสระกันสิบกว่าชีวิต พ่อๆลงสระไปคุม ส่วนแม่ๆก็นั่งเม้าส์กันตามประสา คุยกันจิปะถา ไม่วายเริ่มคุยกันเรื่องจัดทริปต่อไป



เหนื่อยจากว่ายน้ำ ก็กระจัดกระจายกันไปหาข้าวเย็นกิน ช่วงที่เราไปกันเป็นหยุดยาวมาฆบูชา แม่ออนแนะนำให้โทรจองร้านอาหารก่อนเนิ่นๆ แต่ว่าก็ยังไม่รู้จะไปกินกันที่ไหนเลยไม่ได้จอง ส่วนใหญ่ย้อนออกไปนอกกองทัพกินร้านสเต็ก บ้างบ้านไปร้านอาหารทะเลตรงคลองวาฬ ร้านยอดนิยมที่มีคนไปกันก็คือ ร้านหลบมุม  ส่วนครอบครัวเราก็แยกไปถนนที่เงียบที่สุดเพื่อหาร้านที่ไม่มีคน ไปเจอโรงแรมวันวาน ที่มีร้านอาหารอยู่ อ้าวชื่อหลบมุมเหมือนกัน มีบ้านเราอยู่บ้านเดียว ยอดเยี่ยมมาก ธันธันสลบเหมือด ง่วงจัดนอนตลอด เราเลยได้กินข้าวอย่างสบายใจ อาหารรสชาติจัดจ้านมาก อร่อยเรียกเหงื่อจริงๆ สรุปว่าครัวที่ทำเป็นที่เดียวกับร้านสาขาที่คลองวาฬ พี่โหยวบอก มิน่าละเห็นคนขับจักรยานเอาอาหารมาส่งแล้วก็เทใส่จานมาเสิร์ฟให้ พอกินกันเสร็จเจ้าธันธันก็ตื่นมาพอดี ได้ป้อนข้าวก่อนกลับบ้านเรียบร้อยก็กลับไปโรงแรมนอน
คลองวาฬของแท้ ต้องเจอรูปปั้นปลาวาฬ

แกงส้มพริกสด อร่อยแสบ สุดยอดกินกันเหงื่อตก

เนื่องจากเป็นวันมาฆบูชา หลายบ้านไปแวะวัดคลองวาฬพาเด็กๆ ไปเวียนเทียน ส่วนภายในกองบินเองก็มีจัดงานเหมือนกัน แต่บ้านเราเคร่งศาสนามาก ไหว้พระจากบ้านรถตอนผ่านกลับโรงแรม เด็กน้อยหมดแรงนอนหลับสบาย อ้อ แนะนำแจ้งเพิ่มเตียงเสริมตั้งแต่ก่อนไป ราคาไม่แพงเป็นเบาะวางพื้นสำหรับเด็กน้อยที่ชอบนอนดิ้น ที่พักจะมีกระติกเก็บความร้อนให้ แต่ต้องมาเติมน้ำร้อนเองที่ชั้นหนึ่ง

วันเสาร์ที่15
ตอนเช้า ออกหาอาหารเช้ากัน ปกติถ้ามาช่วงธรรมดาโรงแรมจะมีคูปองเงินสดให้ไปซื้ออาหารที่ร้านอาหาร แต่ช่วงหยุดยาวจะไม่มี ปะป๊ากับอาม่าไปเดินตลาด ส่วนบ้านอื่นๆไปซื้อหมูกับข้าวเหนียว ที่ร้านต้มเลือดหมู บ้างบ้านตื่นมาเล่นน้ำแต่เช้า แต่คุณชายฮั่นบอกไม่อยากเล่น ง่วงนอน ปะป๊าเลยพาไปขี่จักรยานแทน



วันนี้เรามีโปรแกรมไปหว้ากอ ดูพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำหว้ากอ (ค่าเข้าชมสัตว์น้ำ เด็ก10บาท ผญ20บาท ผู้สูงอายุ 60ปีขึ้น เข้าฟรี) และมีโชว์ให้อาหารปลาในอุโมงค์เวลา11.00น)  หากไปกันเป็นหมู่คณะ แนะนำให้ทำหนังสือขอเจ้าหน้าที่พาคณะเยี่ยมชม รวมพลเดินดูกันไป แอร์เย็นๆ ธันธันก็หลับปุ๋ยบนรถ ฮั่นก็วิ่งเล่นดูปลากับเพื่อนๆ  





เด็กหลับให้ปลาดู

กลางวันไปทางร้านอาหารหว้ากอเจ๊สั้น ไม่ไกลจากพิพิธภัณฑ์ฯเท่าไร ช่วงบ่ายตกลงกันว่า free style ใครอยากเดินดูต่อในหว้ากอ ก็มีหอดูดาว มีสวนผีเสื้อ หรือจะกลับไปที่อ่าวมะนาวก็มีกิจกรรมให้เล่นมากมาย เช่น ขับรถ ATV  ยิ่งธนู ดูนกกระจอกเทศ ขี่ม้า และอีกมากมาย
บ้านเราขอขับรถวนดูบรรยากาศรอบๆ อากาศร้อนมาก เลยแวะแค่สวนหินในหว้ากอ เพราะมีไดโนเสาร์อยู่ในสวนหิน แล้วแวะหาร้านขายขนมหาของว่างกินเล่น


 ก่อนกลับที่พักพาเจ้าลิงธันธันไปนอน แต่ปรากฎว่าลิงไม่นอน เลยตามเฮียฮั่นลงมาเล่นกับเพื่อนข้างล่าง เล่นเครื่องบิน เล่นทราย แล้วธันธันก็ลงเล่นน้ำทะเลอย่างสนุกสนาน ส่วนฮั่นไปต้องห่วงเลย เล่นกับเพื่อนไม่ยอมเลิกกันเลยที่เดียว จนต้องลากกันขึ้นจากน้ำพร้อมๆกัน ถึงจะยอมเลิก
ธันธันกะชบา รุ่นเล็กสุดขอเล่นทะเลด้วยคน

เล่นกันเต็มสระ

มื้อเย็นวันนี้ เราจอง buffet ของร้านอาหารภายในที่พัก ฮั่นสลบเหมือดหลังจากเล่นน้ำไม่ได้ลงมากินเลยต้องเก็บอาหารขึ้นไปให้  หลายบ้านที่เด็กยังมีแรงอยู่ ก็ไปต่องานวัดตรงตัวเมืองนอกกองบิน มีตลาดคนเดินขายของคึกคักทีเดียว

อาทิตย์ที่16
จริงๆยังมีโปรแกรมเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ภายในอ่าวมะนาว แต่ยกเลิกไปเพราะดูท่าแล้วเด็กๆอยากจะเล่นน้ำมากกว่า เด็กๆเล่นน้ำกันเมามันส์มาก พ่อแม่ก็เม้าส์มอยกันไปดูลูกกันไป ก่อนจะจบทริปแยกย้ายกันกลับบ้าน  check out ไม่นาน เห็นทะเลแล้วอยากจะกลับมาอีก  บ้านบ้างที่แรงเหลือก็ไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์ ต่อเขาช่องกระจก ดูลิงต่อ บ้านเรารีบกลับกลัวรถติดครับ
เห็นชายหาดสะอาดๆของอ่าวมะนาวแล้วอยากให้เป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ให้ลูกให้หลานได้มาเที่ยว ทริปนี้เน้นสนุกสนาน พักผ่อนเล่นน้ำ ไม่เน้นกิจกรรมมากเท่าที่เคยไปกันมา ทริปหน้าของห้องสามสายจะเป็นยังไง เดือนพ.ค. นี้มีทริปก่อนเปิดเทอม ไปมาแล้วจะมาเล่าให้ฟังครับบบบบ

วันอาทิตย์ที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2557

รีวิวหนังสือพ่อแม่: คุยกับลูกด้วยวิธีชี้แนะดีกว่า (COACHING CONVERSATION)

คุยกับลูกด้วยวิธีชี้แนะดีกว่า (COACHING CONVERSATION)

ข้อมูลหนังสือ

ผู้เขียน    โคะมุระซะกิ มะยุมิ

ผู้แปล     อุไรวรรณ จิตเป็นธม คิม

จำนวนหน้า            312 หน้า

สำนักพิมพ์             : INSPIRE

เดือนปีที่พิมพ์        : 10/2012

 

 

คำชวนอ่าน

เทคนิคการคุยกับลูก 51 สถานการณ์ ช่วยให้ลูกคิดเป็น ทำเป็น เเละยืนหยัดได้ ด้วยตนเองในอนาคต

 

คำนิยม

"พูดจาภาษาบวก" ควรต้องได้รับการสนับสนุนส่งเสริมให้เป็นวิถีชีวิตของเราๆ เพื่อเด็กไทยจะได้พัฒนาให้มีคุณภาพมากขึ้น รู้จัก "จัดการ" กับความขัดเเย้งเเละลดความหงุดหงิด พร้อมทั้งสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข สร้างสรรค์ เเละสันติ

รองศาสตราจารย์ ดร.สายสุรี จุติกุล

ประธานคณะอนุกรรมการป้องกันเเละเเก้ไขความรุนเเรงต่อเด็ก

มาช่วยกันทำให้ลูกหลานไทยเติบใหญ่ พึ่งตนเองได้ เเละมีความสุขด้วยการเรียนรู้สิ่งดีๆ จากหนังสือเล่มนี้กันเถอะ

ศาสตราจารย์เกียรติคุณ เเพทย์หญิงเพ็ญศรี พิชัยสนิธ

นายกสมาคมส่งเสริมสถานภาพสตรี

 

ต่อจากนี้ไปเมื่อดิฉันมีโอกาสคุยกับพ่อเเม่หรือได้ยินพ่อเเม่ปรารภเรื่องการสื่อสารกับลูกอีก ดิฉันจะไม่ลืมที่จะถามว่า "คุณได้อ่านหนังสือเรื่องคุยกับลูกด้วยวิธีชี้เเนะดีกว่า ของ โคะมุระซะกิ มะยุมิหรือยัง ถ้ายังก็รีบไป ซื้อมาอ่านเสียเดี๋ยวนี้เลย"

ศรีศักดิ์ ไทยอารี

ผู้อำนวยการสภาองค์การพัฒนาเด็กเเละเยาวชน

 

 

รูปแบบการนำเสนอ

หนังสือมีรายละเอียดที่ครบถ้วนมาก มีการแบ่งบทการนำเสนอได้อย่างชัดเจน การใช้ภาษารื่นตา ภาษาเข้าใจง่าย ไม่สะดุดจนไม่รู้สึกว่าเป็นหนังสือแปล คงมีแค่ชื่อของแม่ลูกเท่านั้นที่ทำให้รู้ว่าอ้อ นี้มันมาจากญี่ปุ่น อะไรประมาณนั้น


จุดเด่นของรูปแบบการนำเสนอที่ชอบสุดสุด คงเป็นการแบ่งรายละเอียดในแต่ละบทย่อย โดยแบ่งเป็น 1) หัวเรื่อง 2) ที่มาของเนื้อหา 3)ตัวอย่างบทสนทนาที่ขัดขวางพัฒนาการลูก 4)ตัวอย่างบทสนทนาที่ส่งเสริมพัฒนาการเป็นสองเท่า  5) เนื้อหาที่อธิบายเหตุผลของการใช้บทสนทนาที่เสนอ และปิดท้ายบทย่อยด้วย 6) จับจุดเพื่อพูดคุยให้ถูกวิธี ทำให้จับใจความได้เร็ว เข้าใจเหตุผลที่ยกมาอธิบายได้ง่ายเพราะเห็นตัวอย่างชัดเจน

 

ความเห็นส่วนตัว

หลังจากอ่านหนังสือ คำถามวิเศษฯ ไปเรียบร้อย เอาเล่มนั้นไปเก็บที่ชั้นหนังสือ ก็เจอเล่มนี้วางอยู่ คิดว่ามาอยู่นานมากแล้ว จริงๆแล้วก็ยังอ่านหนังสือที่มีในบ้านไปได้ไม่ถึง 10% ที่พ่อมันซื้อมาเลย แต่ปกติต้องมีเห็นหน้าปกผ่านตาบ้างอะไรบ้าง  แต่ทำไมเล่มนี้เก็บดีเกินไปเลยไม่เคยเห็นมาก่อน เห็นเนื้อหาเกี่ยวกับการสื่อสารกับลูกเหมือนกัน งั้นเอามาลองเปิดๆอ่านดูละกัน แค่อ่านคำนิยมไปนิดเดียวก็รู้สึก wow มาก เออมันใช่ที่กำลังมองหาอยู่พอดี ได้เรื่องเลย อ่านไม่หยุด วางไม่ลง


ขอแบ่งเนื้อหาของหนังสือเป็น 3 ส่วน คือ บทนำ เนื้อหา และบทส่งท้าย

I. บทนำ - การชี้แนะ จุดไฟให้ลูกเกิด ความสนใจอยากทำ

ในบทนำ ผู้เขียนอธิบาย ความแตกต่างระหว่างการสั่งสอน” กับ การชี้แนะ   ความแตกต่างระหว่าง ให้การสนับสนุน (Support)” กับ ให้ความช่วยเหลือ” (Help) ด้วยการเปรียบเปรยยกตัวอย่างเรื่องราวง่ายๆ อ่านแล้วก็เข้าใจถึงความแตกต่างได้ไม่ยาก ทั้งนี้ เพื่อปูความเข้าใจเกี่ยวกับการชี้แนะ ก่อนจะอธิบายถึง กฎการชี้แนะสามข้อ ซึ่งผู้เขียนนำมาประยุกต์ให้เป็นกฎในการสื่อสารของพ่อแม่ เพื่อใหเป็นไปตามแนวทางของการชี้แนะ และการเลี้ยงดูลูกเพื่อดึงศักยภาพของลูกออกมาใช้ได้ในทุกๆด้าน

 

II.    ส่วนเนื้อหา แบ่งเป็น 5 parts

Part 1 การฟัง

Part 2 การถาม

Part 3 การแสดงการยอมรับ

Part 4 การพูดคุยเพื่อให้ลูกปฏิบัติตาม

Part 5 วิธีเปลี่ยนแปลงลูกในแต่ละสถานการณ์

ในแต่ละpart ก็จะมีบทย่อยๆ ลงไปในแต่ละเคส แต่ละบทสนทนา ซึ่งมีการแบ่งรายละเอียดของเนื้อหาในบทย่อยได้อย่างเป็นระบบ (ที่เขียนไปด้านบนว่า คือ มี แบ่งเป็น 1) หัวเรื่อง 2) ที่มาของเนื้อหา 3) ตัวอย่างบทสนทนาที่ขัดขวางพัฒนาการลูก 4) ตัวอย่างบทสนทนาที่ส่งเสริมพัฒนาการเป็นสองเท่า  5) เนื้อหาที่อธิบายเหตุผลของการใช้บทสนทนาที่เสนอ 6) จับจุดเพื่อพูดคุยให้ถูกวิธี) จุดเด่นของบทนี้ คือ เป็นหนังสือที่ยกเคส หรือสถานการณ์จริงที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันระหว่างแม่กับลูก ซึ่งอ่านแล้ว เฮ้ย ตรงมากอ่ะ มันใช่เลยเจอแบบนี้เหมือนกัน ไม่ต้องคิดจินตนาการเองเยอะ ไม่เหมือนหนังสือหลายๆเล่มที่เอาตัวอย่างมาแล้วเราไม่ค่อยอินเท่าไร







นอกจากนี้ ก่อนจบแต่ละ part จะมี ทักษะพื้นฐานในแต่ละสถานการณ์ เหมือนเป็นบทสรุปของแต่ละหัวข้ออีกรอบ บวกกับเทคนิคหรือเคล็ดลับที่พ่อแม่ควรรับรู้และปฏิบัติกับลูกเป็นนิสัย เช่น ทักษะพื้นฐานในการพูดจูงใจลูก ผู้เขียนเสนอเทคนิค “I message” ที่เป็นการบอกความรู้สึกของผู้พูด ซึ่งเป็นทางเลือกที่ดีกว่าการใช้“you message” และทำให้ลูกรับรู้และเข้าใจในสิ่งที่พ่อแม่อยากจะสื่อสารมากกว่า บทนี้ช่วยเสริมให้เราเข้าใจสาระสำคัญหรือวิธีการชี้แนะที่ผู้เขียนอยากจะสื่อสารได้อย่างดีที่เดียว เพื่อให้พ่อแม่เข้าใจ และทำหน้าที่ของการเป็นผู้ชี้แนะให้ได้ดีที่สุด  

 

III.  บทส่งท้าย แรงขับเคลื่อนสามประการที่ช่วยสนับสนุนคุณ

ผู้เขียนส่งท้ายบทด้วยการให้พ่อแม่กลับมามองตัวเอง ให้ความสำคัญกับตัวพ่อแม่เอง เพราะคุณไม่สามารถเป็นผู้ชี้แนะหรือตัวอย่างของเด็กที่ดีได้ หากคุณไม่มีแรงขับเคลื่อนในชีวิต หรือผู้สนับสนุนหรือให้กำลังใจในการดำเนินชีวิตของตน ผู้ชี้แนะที่มีความสุข ความพอเพียงพอใจในชีวิตปัจจุบัน ก็จะมีแรงบัลดาลใจและความพร้อมที่จะนำพาและเป็นผู้สนับสนุนในชีวิตของลูกต่อไป 


ผู้เขียนเขียนปิดท้ายสุดๆของหนังสือว่า ไม่มีอะไรสายไปที่จะเริ่มต้น การเลี้ยงลูกไม่ได้มีคำตอบที่ถูกที่สุด แต่ก็ขอให้หนังสือนี้เป็นเช่นแนวทางหรือทางเลือกในการใช้ชีวิตกับลูก พร้อมให้กำลังใจพ่อแม่ทุกคน

 

ระดับความน่ามีครอบครอง

สำหรับตัวเองแล้ว เล่มนี้ the must มาก ต้องมีติดมือคุณแม่สมัยใหม่ทุกคนจริงๆ นำมาประยุกต์ใช้ได้กับลูก กับคนในครอบครัว แม้กระทั่ง นำกลับไปใช้กับคุณพ่อคุณแม่ของเราก็ยังได้ค่ะ

 

วันพฤหัสบดีที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2557

พาลิงไปดูเครื่องบิน ที่พิพิธภัณฑ์ของกองทัพอากาศ Royal Thai Air Force Museum

พาลิงไปดูเครื่องบิน ที่พิพิธภัณฑ์ของกองทัพอากาศ Royal Thai Air Force Museum
http://www.rtaf.mi.th/museum/

ออกเดินทางวันที่ 25 ม.ค. 2014

หลังจากได้ตั๋วฟรีไปดู Planes ซึ่งเป็นการดูหนังในโรงครั้งแรกในชีวิตของฮั่น พอดูจบกลับมาก็ชอบ และสนใจเครื่องบินในบัดดล (ปกติจะชอบรถบรรทุก รถตักดินและรถต่างๆ) ฮั่นเกิดอาการสนใจอยากจะบิน ขอพ่อให้พับเครื่องบินให้ เล่นกระโดดร่ม อยากบิน อยากเห็นเครื่องบิน สนใจว่าทำไมมันบินได้  พอเห็นอย่างนี้ มามี้ก็เลยจัดให้ หาข้อมูลได้ ก็ชักชวนกันไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์เครื่องบินเลยล่ะกัน

ไปไม่ยาก พอเข้าจากทางถ.วิภาวดีเข้าไปมามี้ดูแผนที่แล้วก็งง บอกทางปะป๊าไม่ถูก (โดนด่าเลย) ปะป๊าต้องใช้สัญชาตญาณขับพาไปจนเจอ เข้าไปดูบรรยากาศเหงาๆ อากาศกำลังพอดีไม่ร้อนมาก แต่แดดเริ่มแรง ก่อนเดินเข้าไปที่ตัวอาคารก็เจอเครื่องบินจอดเรียงราย ฮั่นตื่นเต้นมาก นี่ยังไม่ได้เข้าไปในอาคารเลยนะเนี่ย

ทางเข้าอาคาร มีเครื่องบินลำโต พร้อมกับสโลแกนของกองทัพอากาศซึ่งเท่มาก “น่านฟ้าไทย จะมิให้ใครย้ำยี”  มามี้อ่านแล้วขนลุก

เราเดินชมปีกด้านซ้ายก่อน (หันหน้าเข้าหาอาคาร) เป็นโซนที่แสดงประวัติการบินของไทย มีเครื่องบินสมัยโบราณ  บางลำที่แสดงมีเพียงไม่กี่เครื่องในโลก 





เราเดินต่อมาอีกปีกหนึ่งของตึก มีเครื่องบินโชว์อยู่สี่ลำ “มันเจ๋งมาก” ฮั่นร้องด้วยความตื่นเต้น ขอให้ปะป๊าอุ้มดูข้างในเครื่อง




จากในอาคาร เราออกมาด้านนอก เจอพวกพี่ๆลูกเสือเดินดูอยู่ไกลๆ ฮั่นวิ่งไปที่เครื่องบินขนสินค้าที่เปิดท้ายรอรับเด็กๆขึ้นไปดูทันที แถมมาช่วยเข็นรถของธันธันขึ้นไปด้วย

แดดเริ่มร้อนแล้ว เลยปล่อยให้พ่อลูกเดินไปดูเหล่าเครื่องบินที่จอดอยู่กลางแจ้งกัน ส่วนมามี้กับธันธันก็ไปเดินเล่นในอาคารจอดเฮลิคอปเตอร์รอเฮียฮั่นเดินกลับมา เด็กๆสนุกมาก (แต่พ่อแม่ปวดเมื่อย)มาก ปีนขึ้นปีนลงเครื่องบิน


ปิดท้ายด้วยเดินออกทางอาคาร 2 ที่แสดงเครื่องบินหายาก สีสวยมากเลย ฮั่นเนี่ยไม่อยากจะกลับเลย ขอ act ท่ากับเครื่องบินลำโปรดอันนี้หน่อย







ท่าเท่ห์ของฮั่น

ก่อนกลับไป แวะไปกินข้าว ร้านที่มามี้อยากไปมาก My Home Veg ทางไปลึกลับเหลือเกิน แต่ได้กินผัก และดูสวนผักไฮโดร สมใจอยาก ซื้อผักกลับไปให้อากงอาม่าบ้านเล็กๆ (เรียกตามฮั่น ที่ใช้เรียกตายาย เพราะบ้านอาม่าเป็น Townhouse หลังเล็กๆ)  www.myhomeveg.com


รายละเอียดเวลาเข้าชม และแผนที่ดูได้จากลิงค์ของกองทัพอากาศค่ะ
http://www.rtaf.mi.th/museum/
ส่วนข้อมูลเกี่ยวกับเครื่องบินแต่ละลำ กระทู้นี้มีข้อมูลแน่นที่เดียวค่ะ
http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2010/03/X8947732/X8947732.html