วันศุกร์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

รีวิวหนังสือพ่อแม่: แผนที่นำทางสร้างศักยภาพสมองลูก

แผนที่นำทางสร้างศักยภาพสมองลูก Brain’s Guide

ข้อมูลหนังสือ
ผู้เขียน    กองบรรณาธิการ รักลูก
จำนวนหน้า            136 หน้า
สำนักพิมพ์             : รักลูก
เดือนปีที่พิมพ์        : 4/2006



คำชวนอ่าน (ปกหลัง)

เจาะลึกเส้นทางลัดพัฒนาสมองลูกให้ก้าวไกล..ทำได้ง่ายๆ

“แผนที่นำทางสร้างศักยภาพสมองลูก”
เล่มนี้จะช่วยให้พ่อแม่ค้นพบหนทางที่ว่า
..ปัจจัยช่วยเสริมสร้างสมองลูกก้าวล้ำทำได้ง่ายๆ เริ่มที่พ่อแม่ อาหาร การเล่น การอ่าน และดนตรี
..สมองลูกสาว และสมองลูกชาย แท้จริงแล้วต่างกัน
..ช่วงขวบปีแรก เป็นช่วงเวลาทอง เพียงกระตุ้นถูกวิธี สมองลูกพัฒนาก้าวไกล
..หลักการทำงานของสมอง จริงๆ แล้ว ไม่ใช่เรื่องซับซ้อนยุ่งยากเกินจะเข้าใจ ฯลฯ
เพียงเท่านี้คุณก็นำลูกมาถูกทางแล้วล่ะค่ะ


รูปแบบการนำเสนอ
หนังสือเล่มเกือบสี่เหลี่ยมจัตุรัสเล็กๆ  เนื้อหาในหนังสือแบ่งเป็น 6 บท ลำดับเนื้อหาความรู้เกี่ยวกับสมองตามลำดับมาเรื่อยๆ และปิดท้ายด้วยความรู้เรื่องของสมอง
Part 1 ว่าด้วยเรื่องของสมอง
Part 2 พัฒนาสมองลูกได้ง่ายๆ
Part 3 อาหารกับสมอง
Part 4 ถึงโตแล้วก็ต้องดูแลสมอง
Part 5 สมอง..ฉลาดได้ด้วย “ดนตรี”
Part 6 ศัพท์สมอง
หนังสือสี่สี กระดาษอ่านสบายตา มีรูปประกอบน่ารักๆสไตล์หนังสือของสำนักพิมพ์รักลูก

ความเห็นส่วนตัว
ขอเริ่มหนังสือเกี่ยวกับสมองด้วยเล่มนี้ก่อน เพราะซื้อมาอ่านนานแล้วตั้งแต่ตอนท้องฮั่น เป็นหนึ่งในหนังสือชุด ส่งเสริมพัฒนาการและการเลี้ยงดูเด็กของสำนักพิมพ์รักลูก เราหยิบกลับบ้านมาพร้อมกับคู่มือเลี้ยงลูกของหมอชนิกาตอนเป็นคุณแม่มือใหม่ พอมาตอนธันธัน ก็ไม่ลืมที่จะเอามาอ่านอีกรอบเพื่อย้ำเตือนความรู้ (ที่หายไปตามวัย ขี้ลืมมาก เป็น mommy brain ของจริง)

เมื่อเปรียบเทียบกับหนังสือสมองเล่มอื่นๆที่มีที่บ้าน เล่มนี้ก็เหมือนหนังสือเรียนที่รวบรวมความรู้พื้นฐานทั่วไปเกี่ยวกับสมอง เนื้อหาสามารถหาข้อมูลได้ทั่วไปตามอินเตอร์เน็ท ไม่ได้ลงรายละเอียดลึกไปหรือไม่ได้ครอบคลุมทุกเรื่องที่ต้องอยู่ เน้นเรื่องการพัฒนาสมองของลูกตั้งแต่ยังอยู่ในท้อง จนถึงช่วงขวบแรก เป็นหลัก มีในเรื่องการดูแลและบำรุงสมองในตอนโต (ใน “Part 4 ถึงโตแล้วก็ต้องดูแลสมอง”)  หนังสือยังแนะนำปัจจัยสำคัญต่างๆ ในการสร้างสมองลูก ชอบที่ปัจจัยแรก คือ พ่อแม่ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่สุด รองมา คือ อาหาร การเล่น ดนตรี และการอ่านหนังสือ

หนังสือมีแบบทดสอบเบื้องต้นเกี่ยวกับแววความสามารถของลูกน้อย เพื่อให้คุณพ่อคุณแม่ได้ประเมินและจะได้วางแผนการพัฒนาได้ถูกต้อง

บทสุดท้าย “ศัพท์สมอง” รวบรวมความรู้เชิงลึกเกี่ยวกับสมอง เช่น สมองส่วนไหนชื่ออะไร คืออะไร มีหน้าที่อย่างไร เซลล์สมองเป็นยังไง มีรูปประกอบ และเราจะได้รู้จักและเข้าใจชื่อเรียกสมองส่วนต่างๆ ที่เราอาจจะเคยได้ยินเคยได้เห็นในโฆษณาหรือหนังสือ และกลไกการทำงานของสมองในแต่ละส่วน อารมณ์แบบอ่าน Finance for non-finance ประมาณว่าสามารถเข้าใจสมองได้อย่างที่ไม่ต้องจบหมอภายใน 15 นาที ประมาณนั้น

ระดับความน่ามีครอบครอง
ปานกลางค่ะ มีไว้เป็นเหมือนเป็นคู่มือประจำบ้านได้ค่ะ เหมาะสำหรับคุณพ่อคุณแม่มือใหม่ใช้ปูพื้ความรู้เกี่ยวกับสมองของลูก หาซื้อได้ตามร้านหนังสือทั่วไป และบูทของสำนักพิมพ์รักลูก
ถ้าใครอยากอ่านแบบไม่วิชาการ จะขอแนะนำหนังสือ “สมองลูกออกแบบได้ด้วยพ่อแม่”  หรือหากใครอยากได้คำตอบเกี่ยวกับเรื่องสมองแบบครบทุกสิ่งอย่าง เดี๋ยวจะแนะนำอีกเล่มให้ค่ะ

วันศุกร์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

รีวิวหนังสือพ่อแม่ : ปั้นเด็กเก่งคิดสร้างสรรค์ Get Creative for a brighter kid

ปั้นเด็กเก่งคิดสร้างสรรค์ Get Creative for a brighter kid

           

ข้อมูลหนังสือ

ผู้เขียน    ศรัณย์ จันทพลาบูรณ์

จำนวนหน้า            164 หน้า

สำนักพิมพ์             : Think Beyond

เดือนปีที่พิมพ์        : 2011

 



คำชวนอ่าน (ปกด้านใน)

o ทำยังไงให้ลูกเป็นเด็กดีคิดต่าง?

o เลี้ยงลูกอย่างไรให้สร้างสรรค์

o ทำไมเราต้องเลี้ยงลูกให้มีความคิดสร้างสรรค์?

o เด็กๆเขามีความคิดสร้างสรรค์ยังไงกันเหรอ?

o วิธีพัฒนาทักษะการคิดสร้างสรรค์ของเด็กๆ ทำยังไง?

o เราทำถูกมั้ยที่จูงใจลูกด้วยการให้รางวัล?

o แปลงบรรยากาศในบ้านให้สร้างสรรค์ทำยังไง?

 

แนวทางเลี้ยงลูกให้มีความคิดสร้างสรรค์ทำง่ายๆ ได้ที่บ้านคุณ

 

รูปแบบการนำเสนอ

ภายในหนังสือมีแค่สี่สีเท่านั้น (ดำแดงขาวเทา) แต่สามารถจัดวางทั้งสี เนื้อหา และรูปประกอบได้ดูแล้วไม่น่าเบื่อ แต่ละหน้าจัดวางเนื้อหา ปรับเปลี่ยนตามเรื่องราวที่เล่า ไม่ตายตัวแบบหนังสือtextbook ไม่มีรูปแบบตายตัวติดกรอบของหนังสือ คิดว่าผู้จัดทำคงอยาก build ให้คนอ่านเปิดใจ คิดสร้างสรรค์นอกกรอบ

 



ความเห็นส่วนตัว

พอดีได้มีโอกาสไปอบรม Powerful Creator กับอาจารย์ศรัณย์ ซึ่งเนื้อหาตรงกับในหนังสือ พออ่านหนังสือก็เลยเข้าใจง่าย เหมือนอ่านเพื่อทบทวนและเตือนใจในสิ่งที่ได้เรียนรู้ไปในการอบรม ก่อน review หนังสือ ขอพูดถึงการอบรมก่อนละกัน ต้องบอกว่าการอบรมของอาจารย์ศรัณย์ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ ตั้งแต่การจัดห้องอบรมให้เป็นบรรยากาศริมชายหาด ผู้เข้าอบรมก็นั่งๆนอนๆกอดหมอน หนุนตุ๊กตาไป อบรมไปแบบชิลชิล เปิดกระบาล” ให้นอกกรอบ รวมทั้งวิธีการดำเนินการอบรมก็แปลกใหม่ เน้นดึงคำถามที่ค้างอยู่ในใจพ่อแม่ออกมา แล้วอาจารย์ก็ตอบปัญหาไป เชื่อมโยงเรื่องราวและหยิบยกเทคนิคต่างๆมาสอดแทรก จนตอบปัญหาของพ่อแม่จนจบภายในเวลาอย่างไม่น่าเชื่อ  (ไม่บอกว่าเป็นยังไง เพราะอยากให้ลองหาโอกาสไปอบรมเอง) รูปแบบนอกกรอบแต่ไม่ตกหล่นเนื้อหาหรือเรื่องราวที่จะคุยกันเรื่องการสร้างความคิดสร้างสรรค์ให้กับเด็ก ตัวชูให้การอบรมยิ่งน่าสนใจหนีไม่พ้น ลูกชายวัย 17 ของอาจารย์ที่สุดยอดมาก ทางด้านความคิดความอ่าน เหมือนฟังคนวัยเดียวกันมาพูดให้ฟัง เป็นตัวการันตีได้ดีเลยความคิดสร้างสรรค์สร้างได้จริงในบ้าน

 

กลับมาที่ตัวหนังสือเอง อ่านง่ายค่ะ มีการนำเนื้อหามาจากที่อาจารย์ไปจัดสัมมนามา เวลาอ่านจะรู้สึกเหมือนนั่งคุยกับอาจารย์อยู่ ภาษาที่ใช้ก็เป็นภาษาพูดง่ายๆ ไม่วิชาการ เข้าใจง่าย นำไปใช้ได้จริง เนื้อหาแต่ละบทสั้นๆค่ะ แต่ได้ใจความ

มีการแบ่งเรื่องราวเป็นหัวข้อๆ ลำดับเรื่องราวจากที่มา หรือคำถามว่าทำไมต้องสร้างสรรค์

 

มีการยกผลวิจัยที่เกี่ยวข้องมาเป็นระยะๆ เพื่อเชื่อมโยงให้เห็นว่าแต่ละเทคนิคจะช่วยส่งเสริมลูกเราได้อย่างไร ตัวอย่างเช่น

บ้านที่เด็กมีความคิดสร้างสรรค์สูง จะมีกฎของบ้านน้อยกว่า กฎหรือไม่มีเลย  กลายเป็นว่า พ่อแม่สร้างเงื่อนไขและกฎเกณฑ์ที่ทำให้เป็นตัวปิดกั้นความคิดของเด็กๆโดยไม่รู้ตัว อาจารย์อธิบายเรื่องนี้เยอะมากในตอนอบรม โดยเน้นให้ลองเปลี่ยน กฎ” เป็น คุณค่า แทน  เชื่อมโยงกฎให้เป็นแรงจูงใจให้เด็กคิด และปฏิบัติตาม ดีกว่าชี้นำและบังคับให้เป็นเช่นนั้น ในหนังสือมีตัวอย่างให้ค่ะ แต่จะขอยกตัวอย่างที่เห็นภาพชัดที่ได้จากที่อบรม เช่น มีบ้านหนึ่งบอกว่า ตั้งกฎว่าห้ามเดินกินข้าว ห้ามลุกออกจากโต๊ะถ้ากินข้าวไม่เสร็จ  อาจารย์ถามคุณแม่บ้านถึงเหตุผลว่าเพราะอะไรถึงตั้งกฎนี้ คุณแม่บอกเพราะว่า มันทำให้บ้านสกปรกและคนอื่นเห็นจะดูไม่ดี ไม่เรียบร้อย และเปลี่ยนกฎเป็นคุณค่าตามเหตุผลที่คุณแม่ตอบว่า บ้านเราเน้นคุณค่าเรื่องความสะอาด และมีมารยาทในการกินข้าว แทน 

 

ทั้งเล่มนี้ รวมทั้งที่ไปอบรม เราว่าเค้านำเอาหลักการ Floor time มาใช้เยอะทีเดียว เป็นหลักเดียวกันกับที่คุณครูที่รุ่งอรุณใช้กับเด็กๆ ไว้จะreview หนังสือเกี่ยวกับ Floor time ที่หลัง  ส่วนตัวบทที่ชอบคือ บทว่าด้วย อยากให้ลูกเป็นเด็กสร้างสรรค์ คุณพ่อคุณแม่ควรคิดอย่างไร” คือ ตอบโจทย์ปัญหาที่ค้างในใจได้มาก อาจารย์ให้เทคนิค 9 ข้อ เรื่องเน้นคุณค่ามิใช่กฎ เป็นหนึ่งในนั้นด้วย ข้ออื่นๆที่น่าสนใจ เช่น ยอมรับในตัวลูก ให้เสรีกับลูกไม่ห้ามหรือควบคุม หรือชี้นำเกินไป และเน้น ขำๆ ฮาๆ เพื่อให้ลูกได้คิดปล่อยมุก หรือคำถามประหลาดๆ สนุกๆและส่งเสริมสมองให้ลูกคิดสร้างสรรค์ไปโดยไม่รู้ตัว ยังมีอีกหลายข้อ อยากให้ไปอ่านกันเอง

 

ปิดท้ายก่อนจบเล่ม ด้วยวิธีการเปลี่ยนบรรยากาศในบ้านให้สร้างสรรค์ ทำให้เราอุ่นใจเยอะเลย พอรู้ว่า ผลวิจัยบอกว่าบ้านที่มีเสียงดัง มีของแปลกเข้าบ้านบ่อยๆ จะช่วยส่งเสริมเด็กให้คิดสร้างสรรค์ ไม่ปิดกั้น ไม่ตัดสิน  และอาจารย์ส่งท้ายโดยให้เรา พ่อแม่เริ่มจากการปรับทัศนคติก่อน เปิดใจและจะได้ปั้นลูกน้อยของเราให้เป็นCreative thinking อย่างมีความสุข  

 

ระดับความน่ามีครอบครอง

ต้องบอกว่าไม่ค่อยเจอหนังสือที่เน้นส่งเสริมเรื่องคิดสร้างสรรค์สำหรับเด็กอย่างนี้มาก่อน ส่วนใหญ่จะเป็นบทหนึ่งในพวกหนังสือส่งเสริมสมอง หรือไม่ก็ IQ หรือ EQ เป็นส่วนใหญ่ ถือเป็นหนังสือที่น่าสนใจค่ะ เล่มนี้ เจอที่ร้านหนังสือมือสอง เห็นอาจารย์บอกไม่มีพิมพ์แล้ว ตอนไปอบรมได้รับแจกไฟล์ต้นฉบับมา พอได้เจอหนังสือจริงๆเลยดีใจมากค่ะ ใครอยากได้ไฟล์สามารถติดต่อหลังไมค์ค่ะ ขอโปรโมทให้อาจารย์แกแทนคำขอบคุณที่จัดการอบรมดีๆค่ะ

 

วันพฤหัสบดีที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

รีวิวหนังสือ: THE SOUND OF SUCCESS VOL.12&13 ตอน : ช่วยลูกให้เป็นแชมป์

THE SOUND OF SUCCESS VOL.12&13 ตอน : ช่วยลูกให้เป็นแชมป์          

 

ข้อมูลหนังสือ

ผู้เขียน    บัณฑิต และ แมรี่ อึ้งรังษี

จำนวนหน้า            - หน้า

สำนักพิมพ์             : www.Bundit.org

เดือนปีที่พิมพ์        : 4/2013


 

คำชวนอ่าน (ปกหลังกล่อง CD)

ซีดีชุดนี้  สรุปปัญญาและหลักคิดที่ดีที่สุด จากผลงานวิจัยหลายชิ้นของต่างประเทศ

 

บัณฑิต และ แมรี่ อึ้งรังษี  กลั่นกรองหลักคิดที่ช่วยลูกคุณให้เก่งครบ 6 ด้าน  จาก...

 

1.  หนังสืออังกฤษเกรด A  กว่า 40 เล่ม  จากนักจิตวิทยา  ผู้เชี่ยวชาญต่างๆ  ของอเมริกา  เป็นหลักการอมตะ

 

2.  ประสบการณ์ชีวิตครอบครัวของ 2 ผู้สอน ที่สำเร็จจริง


ทำไมต้อง  คบบัณฑิต  ติดรถฟัง

#1 คุณอยากได้ข้อมูลดีๆ แต่ไม่มีเวลาเปิดอ่านหนังสือ

#2 คุณอยากเปลี่ยนเวลาที่เสียไปกับการเดินทางให้เป็นประโยชน์

#3 คุณไม่มีเวลาเลือกข้อมูลที่เชื่อถือได้

#4 คุ้มค่ากว่า ชั่วโมง  สามารถเปิดฟังได้หลายรอบ  ข้อมูลอัดแน่น

 

รูปแบบการนำเสนอ

มันเป็นซีดี ที่คุณสามีเปิดให้ฟัง หลังจากที่เค้าเปิด Sound of Success ในเรื่องชีวิต เรื่องการทำงาน และเรื่องครอบครัวแล้ว (มีมันเกี่ยวทุกแผ่น) แต่ชอบแผ่นนี้มากที่สุดเพราะเป็นเกี่ยวกับลูก แถมมีคุณแมรี่ ภรรยามาพูดด้วย ก็ยิ่งชอบ เพราะเป็นหัวอกแม่เหมือนกัน เหมาะมากสำหรับคนที่ไม่ชอบอ่านหนังสือ หรือหาเวลาอ่านหนังสือได้ยาก ก็ใช้เปิดฟังเอาแทนได้ เลือกเปิดตอนรถติดๆหรือตอนทำงานเบื่อๆ ฟังได้เรื่อยๆ  

 

ซีดีในกล่องแบ่งออกเป็นสองแผ่น เล่าหลักสากล21 ข้อแห่งการสร้างเด็กให้เก่งครบ 6 ด้าน และเคล็ดลับเพิ่มศักยภาพให้ลูก  แผ่นที่ เป็นหลักสากลข้อที่ 1-19  แผ่นที่ เป็นหลักข้อที่เหลือกับเคล็ดลับ 10 ประการในการเพิ่มศักยภาพให้ลูก และมี  BONUS เพลง Don't Know What to Doโดย MOZART

 

Introduction บทนำ

หลักที่ 1 : ลูกเป็นทรัพย์สินของเราหรือไม่

หลักที่ 2 : อย่างไรเรียกว่า "รักอย่างไม่มีเงื่อนไข"

หลักที่ 3 : สอนลูกอย่างไร เมื่อเขาทำผิด

หลักที่ 4 : ทำอย่างไรให้กฎในบ้านศักดิ์สิทธิ์

หลักที่ 5 : ให้เกียรติลูกอย่างไร

หลักที่ 6 : ทำอย่างไรให้กฎระเบียบในบ้านชัดเจน

หลักที่ 7 : ทำอย่างไรไม่ให้เกิดความขัดแย้งในบ้าน

หลักที่ 8 : สอนลูกด้วยวิธีไหนที่ดีที่สุด

หลักที่ 9 : การใช้เวลากับลูก เน้นปริมาณหรือคุณภาพดี?

หลักที่ 10 : ถ้ามีลูกหลายคน ต้องให้เขาแข่งขันกันหรือไม่

หลักที่ 11 : เราควรจะตีลูกหรือไม่?

หลักที่ 12 : อะไรคือสิ่งที่พ่อแม่ควรทำหลังจากทำโทษลูก?

หลักที่ 13 : อะไรคือทักษะที่พ่อแม่ควรมี เพื่อความเข้าใจในตัวลูก?

หลักที่ 14 : กิจกรรมอะไรที่ครอบครัวควรทำร่วมกัน?

หลักที่ 15 : จะปล่อยให้ลูกล้มหรือประคองไว้ตลอด?

หลักที่ 16 : ทำอย่างไรถ้าลูกไม่สมบูรณ์แบบไปทุกอย่าง?

หลักที่ 17 : เราจะสอนลูกเรื่องการประสบความสำเร็จในชีวิตว่าอย่างไร?

หลักที่ 18 : ความสัมพันธ์ใดในครอบครัวที่สำคัญที่สุด?

หลักที่ 19 : แสดงความรักต่อลูกอย่างไรดี?

หลักที่ 20 : ทำอย่างไรกับสิ่งที่ลูกเคยทำผิดในอดีต?

หลักที่ 21 : การเปรียบเทียบลูกเรากับคนอื่นเป็นสิ่งที่ดีหรือไม่?

 

เคล็ดลับ 1 :  วิธีวางตัวกับลูก เป็นเพื่อนหรือผู้ปกครอง?

เคล็ดลับ 2 :  วิธีวางตัวของพ่อกับแม่ ต้องเหมือนหรือต่างกันอย่างไร?

เคล็ดลับ 3 :  วิธีสอนลูกให้ประสบความสำเร็จในชีวิต

เคล็ดลับ 4 :  อะไรคือสิ่งที่พ่อแม่ควรทำให้ลูกเห็น?

เคล็ดลับ 5 :  วิธีสอนให้ลูกรู้จักอดทนรอคอย

เคล็ดลับ 6 :  วิธีสอนให้ลูกรู้จักความหมายของการทำดี

เคล็ดลับ 7 :  อะไรคือสิ่งที่อันตรายที่สุดที่ไม่ควรปล่อยให้ลูกใช้เวลากับมัน?

เคล็ดลับ 8 :  วิธีสอนให้ลูกรักการอ่านหนังสือ

เคล็ดลับ 9 :  ดนตรีมีผลกับพัฒนาการสมองของเด็กขนาดไหน?

เคล็ดลับ 10:  วิธีทำให้ลูกค้นพบพรสวรรค์ของตัวเอง

 

 

ความเห็นส่วนตัว

เนื่องจากโดนเปิดให้ฟังโดยไม่ได้ตั้งตัว เลยไม่ได้อ่านก่อนว่าจะมีเนื้อหาอะไรในแผ่นบ้าง ทำให้ไม่ได้คาดหวังมากนัก ฟังไปเรื่อยๆ คิดตามไปเรื่อยๆ หันมามองสามีเป็นพักๆ ประมาณว่า เออ เนื้อหามันใช้เลยนะ เราไม่เคยรู้อีกมุมหนึ่งของบัณฑิตในบทบาทของความเป็นพ่อเลย เพราะที่เคยฟังมาจะเน้นเกี่ยวกับการตั้งเป้าหมายของชีวิต การดำเนินชีวิตของผู้ใหญ่ซึ่งมันช่างดุเดือด สร้างแรงบันดาลใจปลุกไฟในจิตวิญญาณอะไรประมาณนั้น  แต่พอมาคุยเรื่องที่ใกล้ตัวหน่อย อย่างเซทที่เป็นเกี่ยวกับคู่ชีวิต “Sound of success : สำเร็จที่บ้านสำคัญที่สุด” ก็เป็นอีกแนวไปเลย เป็นเรื่องของความสัมพันธ์ของคู่สามีภรรยา อันนี้แนะนำให้ฟังอีกเช่นกัน ต้องฟังด้วยกันสามีภรรยาจะดีมาก   พอมาได้ฟังแนวทางเกี่ยวกับเลี้ยงลูกของบัณฑิตและแมรี่ ก็อดคิดไม่ได้ว่ามันต้องเป็นการเลี้ยงลูกที่มุ่งเน้นผลสัมฤทธิ์ เด็กต้องสำเร็จ หรือแนวทางแบบฝรั่งจ้า  แต่ไม่ใช่เลย บอกได้เลยว่าน่าสนใจมาก และค่อนข้างใกล้เคียงกับวิธีที่เราใช้เลี้ยงดูลูก ฟังแต่ละหลักสากลที่บัณฑิตและแมรี่ได้ศึกษา รวบรวม ทดลอง และถ่ายทอดประสบการณ์ตรงกับลูกสาวทั้ง 4 คน (ถ้าไม่ได้ฟังซีดี ก็คงไม่รู้นะเนี่ยว่าเค้ามีลูกมีเมียน่ารัก)ถือว่าเป็นการเลี้ยงลูกที่ไม่ใช่ฝรั่งจ๋า ปล่อยๆ หรือเน้นเรื่องความสำเร็จของลูกอย่างที่คิดไว้ตอนแรกเลยสักนิดเดียว แถมส่วนตัวรู้สึกว่าแมรี่นี่ conservative เข้มงวด และมีความเป็นคนไทยกว่าเราอีกนะเนี่ย


จุดเด่นคือวิธีในการถ่ายทอดและยกตัวอย่างของทั้งคู่ บัณฑิตกับแมรี่สามารถนำเนื้อหาและบทวิจัยมาร้อยเรียงและเล่าให้ฟังอย่างเข้าใจง่าย เนื้อหาสอดคล้องเชื่อมโยงกับตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจน มีน้ำหนักน่าเชื่อถือเพราะมาอ้างอิงบทวิจัยประกอบบ้าง รวมทั้งเป็นเรื่องราวที่มาจากประสบการณ์ตรงซึ่งสามารถหยิบยกมาให้คนเป็นพ่อเป็นแม่คิดตามแล้วเห็นภาพ  หลายข้อเป็นเรื่องที่เราเคยรู้แล้ว และคิดว่าเป็นเรื่องปกติที่ต้องทำ แต่พอทั้งคู่ยกขึ้นมานำเสนอในอีกมุมหนึ่ง ก็ทำให้เห็นเหรียญอีกด้านหนึ่งที่มีความสำคัญเช่นกันแต่เราอาจจะไม่ได้ใส่ใจเท่าไร 


อีกจุดหนึ่งที่ชอบซีดีแผ่นนี้ ก็คือ มันให้อารมณ์เหมือนกำลังนั่งคุยปรึกษาเพื่อนๆ เกี่ยวกับลูก เรื่องที่เราคิดว่ามีปัญหา คิดไม่ตกว่าต้องทำยังไงกับลูกดี คนที่เป็นพ่อเป็นแม่จะชอบมากที่จะค้นคว้า หาคำแนะนำดีๆ หรือวิธีแก้ไขปัญหาของลูก พอได้ฟังก็จะรู้สึกดีและได้ความรู้ใหม่ๆ ข้อไหนหรือแนวทางไหนที่เหมาะกับบ้านเราก็จะได้เอามาปรับใช้  บัณฑิตกับแมรี่เป็นเหมือนพ่อแม่เพื่อนลูก หรือกลุ่มเพื่อนพ่อแม่ ที่เราสามารถขอคำปรึกษาได้ อยากฟังว่าเค้าคิดยังไงและเรามั่นใจได้ว่าจะได้คำตอบที่ไม่ผิดหวังจริงๆ

 

ระดับความน่ามีครอบครอง

แนะนำเลยเหมาะสำหรับพ่อแม่เอาไว้ติดรถฟังมากๆค่ะ ลองลดเวลาฟัง gossip ดาราหรือข่าวหุ้น ข่าวบอลบนรถ มาฟังสองคนนี้มาให้คำแนะนำเกี่ยวกับการเลี้ยงลูกดูนะคะ

 

วันพุธที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

รีวิวหนังสือ: สูตรสำเร็จ ฝึกลูกพูดเก่ง

สูตรสำเร็จ ฝึกลูกพูดเก่ง


ข้อมูลหนังสือ
ผู้เขียน    สองขา
จำนวนหน้า            151 หน้า
สำนักพิมพ์             : รักลูก
เดือนปีที่พิมพ์        : 11/2009

คำชวนอ่าน (ปกหลัง)
ปัญหาทักษะการพูด ใครว่าเรื่องเล็ก ถ้าเด็กไม่พูด พูดช้า พูดน้อย พูดไม่ชัด พูดเร็ว พูดไม่เป็นภาษา พูดดัง พูดเบา พูดมาก พูดติดอ่าง พูดสลับคำ พูดสื่อความหมายได้ไม่ตรงกับที่ใจนึก ฯลฯ
อย่ารอช้า! สิ่งสำคัญคือท่าทีในการมองปัญหาของพ่อแม่และวิธีปฏิบัติที่สอดคล้องกับปัญหานั้น อย่าลืมว่าภาษา การพูด การสื่อสาร เปรียบเสมือนกุญแจดอกใหญ่ของเด็กที่จะสื่อความคิด แสดงความต้องการของตนเอง และสามารถสื่อสารเพื่ออยู่ร่วมกับคนอื่นในสังคมได้ ถ้ารากฐานในทักษะด้านภาษาไม่ดีพอ ก็ยากที่จะทำและเรียนรู้ในทักษะใหม่ๆ

รูปแบบการนำเสนอ
หนังสือไม่หนามาก เนื้อหาไม่แน่นจนอึดอัด แต่ก็ให้ข้อมูลครบเรื่องการพูดของลูก สีสันสดใส อ่านแล้วไม่เบื่อ มีรูปประกอบน่ารักๆ
มีที่จดบันทึก ใต้การทำกิจกรรมต่างๆ ที่หนังสือนำเสนอ รวมทั้ง ท้ายเล่มมีที่ให้จดบันทึกลูกรัก เกี่ยวกับพัฒนาการ และปัญหาของลูก สามารถเขียนหรือเอาไปดัดแปลงใช้ได้


ความเห็นส่วนตัว
หยิบเล่มนี้มาอ่านตอนไปสัมมนา (อีกแล้ว) เพราะช่วงนี้ธันธันก็ขวบสี่เดือนแล้ว แต่ยังไม่ยอมพูดสักคำ คำที่เคยพูดได้ก็เลิกไม่พูดอีกแล้ว ถึงยังไม่พูดแต่ธันธันฟังเข้าใจและทำตามที่สั่งหรือบอกได้  เล่มนี้เคยอ่านไปตอนฮั่นเด็กๆ เพราะฮั่นพูดช้าเหมือนกัน บอกเลยว่าจำเนื้อหาไม่ได้แล้ว มามี้เลยขอย้ำความเข้าใจเกี่ยวกับพัฒนาการพูด และแนวทางในการส่งเสริมลูกน้อยในการพูดอีกสักที

“สองขา” ผู้เขียนก็เป็นคุณแม่ที่มีลูกพูดช้า ต้องไปเรียนกับครูฝึกพูดอยู่หลายปี ได้เขียนหนังสือเล่มนี้เพื่อแบ่งปันประสบการณ์และความรู้ที่ได้จากชีวิตจริงในการสอนและพัฒนาการสื่อสารของเด็ก การถ่ายทอดของเนื้อหาเลยเข้าใจง่าย และเป็นกฎเกณฑ์หรือข้อบังคับมากเกินไป ผู้เขียนเริ่มหนังสือ ปลุกใจพ่อแม่ ไม่ใช่ ให้พ่อแม่เข้าใจว่า “ใครๆก็สื่อสารได้” ลิงก็ยังทำได้ ทำไมลูกเราจะทำไม่ได้ งั้นมาเข้าใจถึงที่มาของการสื่อสาร และพัฒนาการทางภาษาของเด็กที่ควรจะเป็น ชอบที่ผู้เขียนเน้นว่าเด็กแต่ละคนไม่เหมือนกัน พี่น้องกันก็อาจมีพัฒนาการต่างกัน อยู่ที่เรา พ่อแม่จะสังเกต ส่งเสริม และแก้ไขให้ลูกในแต่ละปัญหายังไง เรื่องของพัฒนาการ

ว่าแล้ว ก็กะว่าจะตั้งใจอ่านตั้งแต่ต้นจนจบ เพราะตอนสมัยฮั่น จำได้ว่าเราแอบเปิดดูบท “แนวทางในการแก้ไข” กับ “ฝึกลูกพูด” ไปเลย เพราะอยากรู้แต่วิธีแก้ไขด่วนๆ แต่ก็ไม่ค่อย get ว่าเพราะอะไร เอาละมาตั้งใจแล้วกลับมาอ่านต่อ ค่อยๆเป็นค่อยๆไป กว่าสัมมนาจะเริ่ม สรุปอ่านแป๊บเดียวไม่ถึงชั่วโมงก็จบ

พอเข้าใจพัฒนาการในการสื่อสารของเด็กแล้ว ผู้เขียนได้อธิบายปัจจัย 5 ประการ ที่ทำให้คนเราพูดสื่อความหมายได้รู้เรื่อง นั้นก็คือ หู สมอง ปาก สิ่งแวดล้อม และสิ่งเร้า  โดยอธิบายปัจจัยแต่ละประการอย่างละเอียด เชื่อมโยงกับการสื่อสารของเด็กตามวัย สอดแทรกเคล็ดลับและตัวอย่างที่พ่อแม่ควรทำเพื่อช่วยลูกให้พูดสื่อสารได้ตามวัย


หลังจากเข้าใจองค์ประกอบของการสื่อสารแล้ว ผู้เขียนอธิบายเรื่องปัญหาในการพูดของเด็กที่พบได้บ่อยๆ ซึ่งก็ตามคำปกหลังด้านบน แล้วก็ค่อยๆ ไล่แนวทางในการแก้ไขในแต่ละปัญหา และ ยกกิจกรรมที่ใช้ “ฝึกลูกพูด” มีรูปประกอบให้เห็นภาพด้วย  ซึ่งพ่อแม่ต้องดูวัยของลูกแล้วลองนำไปประยุกต์ใช้ดูนะคะ ส่วนตัวเริ่มจากการฝึกธันธันแบบง่ายๆ เพราะธันยังไม่มีสมาธิพอจะนั่งฟังหรือทำตามที่สั่งมากนัก เราเอาวิธีการสอนแบบ “รูปธรรม” คือ สอนจากของจริง และฝึกแบบเริ่มจากสิ่งที่ลูกสนใจ เพื่อให้ธันธันชอบ และให้ความร่วมมือ บวกกับต้องทำให้สนุกสนาน เพราะวัยขวบกว่านี้ เกรียนมาก ไม่พอใจหรือเบื่อก็เดินหนีไปเล่นอย่างอื่นๆ ทิ้งแม่ไปไม่ให้สุ่มให้เสียงได้

อย่างที่ผู้เขียนกล่าวในบทนำว่า
               “ไม่มีไม้เท้ากายสิทธิ์ในชีวิตของพ่อแม่ที่จะแตะโน่น ปิ๊งนี่ แล้วลูกเราจะเป็นไปได้อย่างใจนึก หรือได้ผลดีทันตาเห็น เพราะกว่าที่เด็กคนหนึ่งจะได้เรียนรู้ ต้องอาศัยทั้งเวลา และความอดทน ...

มามี้จะคอยวันที่ธันธัน พูดกับมามี้ นอกจากคำว่า “แหม่ม แหม่ม” (กินนม) เป็น “I Love You”
มามี้จะอดทนและฝึกฝนกันต่อไป

ระดับความน่ามีครอบครอง
สำหรับพ่อแม่ที่คิดว่าลูกตัวเองมีปัญหาเรื่องการพูด หรือสื่อสาร อาจจะเป็นหนังสือเริ่มต้นทำความเข้าใจการสื่อสารที่ดีค่ะ แต่ถ้าลูกมีปัญหามาก คิดว่าหนังสือยังไม่ตอบโจทย์การแก้ปัญหาในเชิงลึก เพราะหนังสือเสนอเน้นหาครอบคลุมทุกโรค อาจจะดีกว่าที่จะไปหาหมอ หรือหาหนังสือเฉพาะทางค่ะ

วันอังคารที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

ห้องสามสายตะลุย Jim Thompson Learning Camp

Jim Thompson Learning Camp
23-24 พ.ย. 2013
ปีก่อน (2012) ห้อง อ. 1/3 มีบ้างบ้านไปเที่ยวค่าย Jim Thompson แล้ว แต่เพราะว่าติดว่าท้องใกล้คลอดเลยไม่ไป ปีนี้เลยจัดอีกรอบ ชวนกันไป รวบรวมกันมาได้ 15 ครอบครัว เด็ก 23 คน ผู้ใหญ่ 43 คน ทริปนี้ เราคิดและติดต่อจองวันไปกันล่วงหน้านานมาก เพราะต้อง lock เวลาแต่ละบ้านไว้ก่อน ไม่งั้นจะหนีไปเที่ยวที่อื่นกัน นัดกันเสร็จจองที่กันเสร็จ ก็เกือบลืมกันไปเลยว่าต้องไปเที่ยวกัน


ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่าที่จัดค่าย Jim Thompson Learning Camp อยู่คนละทีกับที่จัดงาน Jim Thompson ประจำปีนะคะ ที่ Camp จะเป็นที่สำหรับจัดกิจกรรมค่าย และทำฟาร์มเกษตรกรรมเป็นหลัก ซึ่งโรงเรียน หรือครอบครัวไหนที่สนใจ ก็สามารถติดต่อขอเข้าไปที่ฟาร์มได้ค่ะ  การติดต่อกับค่าย Jim ไม่ลำบากค่ะ โทรคุยกับพี่พนักงาน คุณอ้อย คุณจริยา พี่ๆน่ารักทุกคน อาจจะติดคัดบ้างเพราะพี่เค้าไม่ได้ใช้อีเมลเป็นประจำ ใช้การโทรคุยก็จะสะดวกค่ะ ทางค่ายมีโปรแกรมจัดส่งมาให้ ซึ่งก็ถึงเวลาจริงก็ยืดหยุ่นปรับเปลี่ยนไปบ้าง ตามเวลาและอาการของคุณลูกๆ

แต่ละครอบครัวออกเดินทางกันจากบ้านมุ่งหน้าเจอกันที่ค่ายตอนบ่ายโมง ระหว่างทางแต่ละบ้านก็ไปแวะโน้นนี้กันหลากหลายมาก บ้างบ้านไปดูค้างคาวยักษ์ตัวเท่าแม่ไก่ บ้างบ้านไปแวะกินสเต็ก บ้างบ้านก็ตรงไปที่ค่ายทันที มีหลงบ้าง หาไม่เจอบ้างกันตามอัฐยาศัย
ครอบครัวเราไปกันเป็นครอบครัวใหญ่ อากุง อาม่า เจ๊เจ๊ พอดี Aunty จาก Australia มาเยี่ยมอาม่า ก็เลยพาไปด้วย งานนี้แค่บ้านเราก็ผู้ใหญ่ 6 เด็ก 4 รวมเจ้าตัวเล็ก จ้างรถตู้ไปเลยละกัน บ้านเราออกแต่เช้า มุ่งหน้าไปที่ วังน้ำเขียวฟลอร่า ตัวเองอยากไป เลยเอาไว้เป็นที่แรก สถานที่ไม่ใหญ่อย่างที่คิดไว้ เดินดูต้นไม้ดอกไม้สนุกที่เดียว ชอบซุ้มต้นไม้ ที่มีฟักยักษ์ ม่านดอกไม้มาก ส่วนจุดอื่นๆ ก็เดินดูเล่น ถ่ายรูปกันตามปกติ


ใจจริงยังอยากไปแวะ ผาเก็บตะวัน ก่อน อยากพาฮั่นไปยิงลูกไม้ ยิงเมล็ดพันธุ์พืช ด้วยหนังสติ๊ก  แต่เพราะเวลาไม่พอ กว่าจะกินข้าวกลางวันเสร็จ ช่วงนั้นมันหยุดยาวหรือไง ไปร้านไหนก็คนเยอะไปหมด
จากวังน้ำเขียว ก็รีบไปที่ค่าย มีหลายบ้านไปถึงกันแล้ว พวกเราขับรถผ่านหน้าค่ายไปอย่างไม่รู้ตัว ต้องวกกลับมา ถึงได้เห็นป้ายอันเล็กน้อย ผ่านไปไม่ได้สังเกตเลย
ป้ายเล็กต้องสังเกตดีๆ
หรือสังเกตชื่อฟาร์มที่เป็นต้นไม้แทน

กว่าจะมากันครบ โปรแกรมกิจกรรมแรกก็เลยเลทออกไป แต่ไม่เป็นไร ว่าแล้วก็แต่ละบ้านก็ได้รับหนอนไหมบ้านละกล่อง ข้างในมีหนอนหิวอยู่ห้าตัว  จากนั้น พวกเราก็กระโดดขึ้นรถ ไปดูรอบฟาร์มกัน จุดแรกที่หยุดดู เป็นไร่หม่อน ที่แต่ละบ้านลงไปเก็บใบหม่อนเก็บกลับไปเลี้ยงหนอนไหม และเก็บมาทำเป็นอาหารเย็นของวันนี้ด้วย ได้ใบหม่อนกันคนละถุงสองถุงก็เดินทางต่อ
รถมาจอดให้พวกเราลงไปเดินฟักทองประดับจิ๋วจากในฟาร์ม เด็กๆผู้ใหญ่วิ่งกันลงไปเลือกดูกัน สวนอีกฟากมีฟักทอง 3 สี คือ มีฟักทองสีเงิน (จริงๆก็สีขาว) สีทอง (จริงๆก็สีสัมเหลือง) และสีอะไรอีกอันจำไม่ได้ ที่รู้ๆคือ พวกอากงอาม่าพากันเก็บมาได้คนละสองสามลูกใหญ่ สุดยอดจริงๆ  จากตรงนี้ รถพาพวกเราไปดูรอบๆฟาร์ม มีพืชผักที่ปลูกไว้ใช้ประดับในงานเปิดฟาร์ม Jim Thompson ประจำปี ช่วงกลางเดือนธันวาคม พวกเราตั้งใจไม่ไปช่วงนั้น เพราะกลัวคนจะเยอะ นอกจากนี้ หลังจากคุยกับพี่ๆที่ค่ายจิมแล้ว เค้าได้เพิ่มโปรแกรมให้พวกเราได้เข้าไปเที่ยวในฟาร์ม Jim Thompson และหมู่บ้านอีสานด้วยในวันถัดไป ก็เลยโอเค

เมื่อกลับมาถึง แต่ละบ้านก็แยกย้ายกันเก็บสัมภาระเข้าเต้นท์ของตัวเอง ทางค่ายมีเต้นท์อยู่สองขนาด คือ ขนาดใหญ่ กับขนาดปกติ ขนาดใหญ่จะมีเบาะที่นอนเดียวให้ 4 อัน ส่วนขนาดปกติ จะปูเป็นที่นอนให้หนึ่งอัน  มีห้องน้ำและห้องอาบน้ำรวมอยู่ในบริเวณนั้นค่ะ มีน้ำอุ่นด้วย

 เด็กๆวิ่งเล่นไปแป๊บหนึ่งก็ต้องเริ่มทำอาหารเย็นกัน พวกพ่อๆและอากง ก็พาลูกๆหลานๆไปรับไก่และอุปกรณ์ทำไก่อบฟางกันบ้านละตัว บ้านไหนมาหลายคนก็ได้หลายตัวหน่อย ส่วนแม่ๆ และอาม่าก็มาทำผัดหมี่โคราช กับส้มตำ ซึ่งทางค่ายจัดชุดทำไว้เรียบร้อยแล้ว แค่ตำๆๆ และผัดๆๆก็เรียบร้อย ด้านนี้จะเสร็จเร็วหน่อย เดินไปลุ้นไก่อบฟาง เด็กๆสนุกมาก สิบกว่าบ้านทำไก่อบฟางกัน ควันตลบตลอดแนว ส่วนพ่อๆก็โชว์ฝีมือการจุดไฟ พอไฟมอดหมดฟางแล้ว ก็จะมาลุ้นกันว่าไก่สุกหรือไม่ มีเกทับแซวกันเล็กน้อย แบบสนุกๆ  พอไก่สุก ก็ได้ยกมากินกัน อยากเอร็ดอร่อย กับส้มตำและหมี่โคราช เด็กๆก็สนุก พ่อแม่ทำกับข้าวร้อนเหนื่อย หน้ามัน แต่พอเห็นเด็กๆได้สนุกได้ลองประสบการณ์ใหม่ๆ ก็มีความสุขและมีแรงเล่นกับลูกต่อ



ตอนแรก กะว่าจะทำกิจกรรมก่อนนอน แต่พ่อแม่หมดสภาพเลยแยกย้ายกันไปพักผ่อน พวกเด็กๆพอมีเพื่อนก็จับกลุ่มวิ่งเล่นกันรอบเต้นท์ วิ่งซ่อนหา วิ่งหาผี ฮั่นเองก็วิ่งตามเพื่อนซักพัก เพื่อนก็พากลับมาหาแม่ เพราะร้องไห้กลัวผี แม่ปลอบได้ซักพัก ก็กลับไปเข้ากลุ่มวิ่งเล่นต่อ ส่วนธันธัน อารมณ์แปลกที่และเห็นพี่ๆวิ่งเล่น ก็ออกมาเดินไม่ยอมหลับยอมนอน สุดท้ายแต่ละบ้านต้องต้อนลูกๆ กลับเข้าเต้นท์นอนเพื่อจะได้เตรียมตื่นเช้าสำหรับกิจกรรมวันรุ่งขึ้น เมื่อเด็กหลับ พวกพ่อๆก็เริ่มปาร์ตี้กัน คุยเม้าท์กันตามประสาพ่อๆ อีแม่ไม่ไหวเหนื่อยจับลูกก็หลับกันไป นอนเต้นท์อากาศกำลังสบายไม่ร้อนไม่หนาว


ตื่นเช้ามา หนอนไหมในกล่องของหลายบ้านเริ่มกลายเป็นดัดแด้ รังไหมแล้ว เด็กๆดูกันอย่างตื่นเต้น  จากนั้น พอรู้ว่ามีที่เล่น เด็กๆก็พากันไปวิ่งเล่นฐานกิจกรรมภายในค่าย ปกติที่นี้จะมีกลุ่มลูกเสือมาจัดค่ายและทำกิจกรรมกัน เราพาธันธันกลับมากินข้าวก่อน ส่วนปะป๊าก็ยังดูฮั่นและเด็กๆ เล่นกันอยู่ กลับมาเล่าให้ฟังว่า ฮั่นอยากเล่นเดินทรงตัวบนสะพานสูง สูงมากจนไม่น่าเชื่อว่าลูกจะกล้า ฮั่นกลัวอยู่นาน แต่สุดท้ายก็ข้ามมาจนสุด ฮั่นดีใจมากที่ทำสำเร็จและเล่าให้เราฟังอย่างภาคภูมิใจ เสน่ห์ของการมาเที่ยวอย่างหนึ่งก็คือ เราได้เห็นลูกๆเติบโตและทำอะไรได้มากขึ้นกว่าที่กิจวัตรประจำวันอย่างคาดไม่ถึง ได้แต่ชื่นชมฮั่นและยิ้มอย่างมีความสุข



พอเสร็จก็กลับมาทำอาหารเช้าเอง มีวาฟเฟิล ไข่ครก ที่ทางค่ายเตรียมอุปกรณ์ และเครื่องทำไว้ให้ เด็กๆก็ได้ทำเองกินเองอย่างภูมิใจ ส่วนบ้านเราอาม่าจัดการให้เรียบร้อย กินอย่างเดียว กิจกรรมช่วงเช้า ทางค่ายสอนวิธีการทำสบู่รังไหม สกรีนกระเป๋า และทำสมูทตี้หม่อน
มองรังไหมที่อาม่ากะมามี้ทำ แล้วอยากกิน
อากุงช่วยทำสกรีนกระเป๋า


 พอทำเสร็จก็ต้องรอให้สบู่รังไหมแห้ง ทางค่ายก็พาพวกเราเดินไปดูฟักทองยักษ์ที่เอาไว้โชว์ในงานประจำปี เราก็เดินกันไป ธันธันงอแงไม่ยอมเดิน ต้องอุ้มทั้งไปและกลับ เรานี้แทบแย่เลย ขากลับหลับเลยให้พ่อมันอุ้มกลับแทน ฟักทองลูกโตมาก เด็กๆทำตามที่พี่ๆที่ค่ายขอไว้คือ ดูอย่างเดียว ห้ามจับหรือเข้าไปใกล้ แค่นี้ก็ตื่นเต้นสุดๆ 
อาม่ากะเจ๊เจ๊กับฟักทองยักษ์

 กลับมาเก็บสบู่รังไหม และแพ็คข้าวของแล้ว เตรียมออกเดินทางไปที่ฟาร์ม Jim ใหญ่ ที่ค่ายได้จัดอาหารกลางวันไว้ให้ที่หมู่บ้านอีสาน
มาถึงก็กินกันก่อนเลย เป็นบะหมี่หมูแดง ที่อร่อยมาก ที่ค่ายบอกว่า น้ำซุปหวานเพราะมีเคล็ดลับ คือใส่ใบหม่อนสับลงไปด้วย อร่อยจริงอะไรจริงนะเนี่ย กินอิ่มก็ไปเดินเที่ยวในหมู่บ้านอีสานที่เป็นสถานที่ถ่ายละครเรื่องคุณชายรัชชานนท์ เด็กๆวิ่งขึ้นบ้านนั้นลงบ้านนี้ เราขอร้องให้มีรูปหมู่กันซักหน่อย เพราะทริปเบิกบานบุรีก่อนหน้า เที่ยวเสร็จเพิ่งมาดูว่าไม่มีรูปหมู่กันเลย ได้ฤกษ์รวมพลได้แล้วก็ถ่ายรูปกันสักหน่อย ลิงน้อยธันธันไม่ได้ร่วมอยู่ในรูปเพราะสลบเมือดหลังกินข้าวเสร็จ เลยให้นอนเย็นๆในห้องอาหาร


เดินเที่ยวเล่น ถ่ายรูป ดูวิวกันเสร็จแล้ว ก็ถึงเวลาแยกย้ายกัน พี่ที่ค่ายพาแวะขับรถไปเด็ดมะเขือเทศตรงสวนก่อนออกจากฟาร์ม  พวกอาม่ามือโปร เด็ดกันมาได้คนละถุงสองถุง สนุกสนานได้ของฟรีก่อนกลับบ้าน บ้านเรากลับบ้านเลย อีกหลายบ้านไปเที่ยวกันต่อที่วังน้ำเขียวบ้าง เขาใหญ่บ้าง หรือแวะฟาร์มโชคชัยบ้างตามอัธยาศัย
มามี้กะฮั่นเก็บมาครับ

แวะไร่สุวรรณ


ทริปนี้ กิจกรรมแน่นมาก เด็กๆสนุกสนานได้ประสบการณ์ใหม่นอนเต้นท์ เผาไก่กินเอง ลงสวนเด็ดฟักทอง มะเขือเทศ แถมได้ทำกระเป๋าและสบู่รังไหม และมีหน้าที่ต้องดูแลหนอนไหมที่เป็นของฝากกับบ้านไป  พวกพ่อๆแม่ๆ คุยกันว่า สนุกนะแต่เหนื่อยจัง ทริปหน้าขอชิลๆ สบายๆ หน่อย ก็เลยนัดกันว่า ไปทะเลเล่นน้ำ กินๆๆนอนๆๆละกัน  เป็นที่มาของทริปอ่าวมะนาวนั้นเอง